กระตุ้นรัฐอุดช่องว่าง ก.ม.คอมพิวเตอร์
ผศ.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ คณะกรรมการบริหารนโยบายปัญญาสมาพันธ์เพื่อการวิจัยความเห็นสาธารณะแห่งประเทศไทย เปิดเผยระหว่างการเสวนา “รู้เท่าทันกฎหมาย ชนะภัยโลกไซเบอร์” ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,000 คนในหลากพลายระดับอายุพบว่า 54% ไม่เข้าใจ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กฎหมายคอมพิวเตอร์ และระบุว่าอ่านแล้วปวดหัวมาก
การวิจัยครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำข้อมูลที่ได้ เป็นแนวทางให้แก่ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำพัฒนารูปแบบในการสร้างการรับรู้และเผยแพร่กฎหมายฉบับนี้ให้มากขึ้น โดยจากการสำรวจมีถึง 35% ไม่เคยได้ยินกฎหมายฉบับนี้ 36% ทราบว่ามีกฎหมายแต่ไม่เคยอ่าน และ 22% เคยอ่านกฎหมายฉบับนี้แต่ไม่เข้าใจบางประเด็น
ผลสำรวจยังชี้ว่า 51% ทราบว่ากฎหมายฉบับนี้เปิดให้ร้องเรียนได้หากถูกกระทำบนโลกไซเบอร์ แต่ไม่รู้ช่องทางในการร้องเรียน 32% ของกลุ่มตัวอย่างจะอยู่เฉยๆ และไม่ดำเนินการอะไรเลย หากตกเป็นเหยื่อ และ 55% ไม่เชื่อว่ากฎหมายฉบับนี้จะสามารถจัดการหรือเอาผิดกับผู้กระทำได้
ผศ.เสาวณีย์ กล่าวว่า จากผลสำรวจชี้ให้เห็นชัดเจนว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้ขาดการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ต่อประชาชนในทุกช่องทาง ซึ่งไม่ส่งผลดีในอนาคตที่เด็ก ป..1จะได้รับแท็ปเลตฟรีทั่วประเทศ ดังนั้น จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งแก้จุดอ่อนดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ดีกว่ามาตามแก้ปัญหาในภายหลัง
พ.ต.อ.สมพร แดงดี ผู้กำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. กล่าวว่า ต้องการให้ภาครัฐปรับปรุงช่องโหว่ของกฎหมายนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถขอข้อมูลสำคัญ หรือ ยึดเซิรฟเวอร์ได้ในบางกรณีเร่งด่วน เพื่อให้การดำเนินการทำได้รวดเร็วมากขึ้น และ เพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้นจากเดิมที่จำคุก 5 ปี หรือ ปรับ 1 แสนบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับความผิดของผู้กระทำ
นายวันฉัตร ผดุงรัตน์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์พันทิป กล่าวว่า ปัญหาของกฎหมายฉบับนี้ คือ ขาดการสื่อสารในวงกว้าง โดยจะเห็นชัดเจนว่าปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไม่รู้กฎหมายฉบับนี้เยอะมาก ซึ่งกฎหมายคอมพิวเตอร์ถือเป็นภาพใหม่ของการสื่อสารในยุคปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตมีบทบาทอย่างมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและสร้างความสมดุลให้ชัดเจนระหว่างโลกออนไลน์ กับโลกความเป็นจริงเพิ่มขึ้น
ที่มา: http://www.posttoday.com
ที่มา: http://www.posttoday.com