วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง


ถือเป็นไฮไลต์ของงาน “นาสด้า อินเวสเตอร์ เดย์ 2011”
ที่ผู้จัดอย่าง “ดร.ทวีศักดิ์  กออนันตกูล” ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า ซุ่มทำวิจัย หาข้อมูล และระดมสมองของนักวิจัยระดับหัวกะทิในสาขาต่าง ๆ จนได้มาซึ่ง 10 เทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในอนาคต
   
ปีนี้นำเสนอถึงเทคโนโลยีใน 4 สาขาที่กำลังได้รับความสนใจคือ ด้านไอที  วัสดุศาสตร์ พลังงานสะอาด และสุขภาพ




โดยเทคโนโลยีอันดับ 1 จากสาขาไอที ก็คือเทคโนโลยีเว็บเชิงความหมาย (Semantic Web) หรือเว็บ 3.0 ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคตอันใกล้  ซึ่ง เว็บ 3.0 นี้ จะหมายถึง เทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน  เว็บไซต์อยู่ในรูปของการ อ่าน เขียน และการเชื่อมโยง ซึ่งไม่ใช่ในรูปแบบลิงค์เหมือนที่ใช้ในเว็บ 2.0 ที่ผ่านมา  นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถจัดการกับเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างอิสระ 
ดร.ทวีศักดิ์  บอกว่า แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีเว็บจะมีสูงขึ้น เว็บไซต์จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือในการค้นหาข้อมูล แต่ยังเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในรูปบริการเบ็ดเสร็จ และเชื่อมโยงมีเดียในแต่ละแบบเข้าด้วยกัน  ซึ่งเว็บ  3.0  จะเป็นตัวช่วยในการบูรณาการสารสนเทศ  จัดเก็บ และนำเสนอ สามารถที่จะวิเคราะห์ จำแนกและจัดแบ่งได้ว่าข้อมูลนั้น ๆ มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในระดับอื่น ๆ อย่างไร
   
สำหรับเทคโนโลยีอันดับที่ 2 ในสาขาเดียวกันนี้ก็คือ จอแสดงภาพ 3 มิติ (3D Display) ปัจจุบันจอแสดงภาพ 3 มิติ  มีการเติบโตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อสามารถดูได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา 3 มิติ หรืออุปกรณ์เสริมจากภายนอก ซึ่งจอ 3 มิติในปัจจุบัน ใช้หลักการมองเห็นภาพสเตอริโอสโคปี และพาราแลกซ์ มาผสมผสานเข้ากับจอ
แสดงผลแบบผลึกเหลว จอพลาสมาและฉากรับภาพ  มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้มีการทำตลาดกันอย่างกว้างขวาง  คาดกันว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ 3 มิติ จะสูงถึง 64 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 ส่วนจอมือถือแบบ 3 มิติจะเติบโตสูงสุดด้วยจำนวน 71 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 
   
จากการเติบโตของเทคโนโลยีนี้ ผอ.สวทช.บอกว่า ไทยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา แต่สามารถร่วมเป็นผู้ผลิตได้โดยเฉพาะการผลิตเนื้อหาหรือดิจิทัลคอนเทนต์ที่จะประยุกต์ใช้งานกับอุปกรณ์ดังกล่าว
   
เทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 3  ซึ่งอยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์ก็คือ กราฟีน  (graphene) หรือวัสดุมหัศจรรย์ ที่เป็นชั้นของคาร์บอนอะตอมที่หนาเพียง  1 ชั้น มีโครงสร้างเหมือนตาข่ายรูปหกเหลี่ยม  กราฟีนถูกคาดหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมไอที เนื่องจากมีคุณสมบัติน่าทึ่งหลายอย่าง เช่น แข็งกว่าเหล็กกล้าและแม้แต่เพชร แต่ยืดหยุ่นได้ถึงร้อยละ 20 นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงและยังโปร่งแสงอีกด้วย 
   
จากคุณสมบัติดังกล่าว จึงสามารถนำกราฟีนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ทั้งวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หมึกนำไฟฟ้า จอภาพแบบสัมผัส ที่สามารถโค้งงอได้ โทรศัพท์มือถือ และชิปคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง เซ็นเซอร์ตรวจวัด แบตเตอรี่และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานหรือโซลาร์เซลล์
   
ส่วนเทคโนโลยีอันดับ 4 และ 5 อยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์เช่นกันคือ  จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer) และพลาสติกฐานชีวภาพ (Future Bio-based Plastics) โดยจีโอพอลิเมอร์ เป็นวัสดุจำพวกอะลูมิโนซิลิเกต ที่มีสมบัติทางกลดีมาก ทนไฟ และทนทานต่อสารเคมี สามารถนำของเสียและของเหลือใช้ เช่น เถ้าถ่านหิน เถ้าแกลบหรือดินขาวเผา มาเป็นวัตถุดิบ ปัจจุบันมีการนำวัสดุจีโอพอลิเมอร์ มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานตกแต่งและอนาคตอาจจะมีการนำไปพัฒนาเป็นเซรามิกส์ที่ไม่จำเป็นต้องเผาที่อุณหภูมิสูงอีกต่อไป
   
สำหรับพลาสติกฐานชีวภาพหรือพลาสติกชีวภาพ  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากกระบวนผลิตพลาสติกที่สังเคราะห์จากปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ  โดยเป็นพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ มีทั้งแบบทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ หรือใช้สารตั้งต้นที่ไม่ได้มาจากวัตถุดิบที่เป็นปิโตรเลียม
   
เทคโนโลยีอันดับที่  6 มาจากสาขา พลังงานสะอาด  คือ เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง ชนิดรอยต่อแบบเฮเทอโร (High efficiencyheterojunction solar cells) ซึ่งเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเซลล์ผลึกซิลิคอนทั่วไป มีค่าสัม ประสิทธิ์อุณหภูมิต่ำ สามารถใช้งานกับที่มีอุณหภูมิสูง ๆได้ดี จึงเหมาะกับประเทศไทย
   
ส่วนอันดับ 7 จากสาขาเดียวกันนี้คือ การพัฒนาเอทานอลจากวัสดุเซลลูโลส (Cellulosic biofuel)  เช่น เศษวัสดุการเกษตร พืช/ไม้โตเร็ว เป็นทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์เรื่อง การขาดแคลนพลังงาน ปัญหาโลกร้อน และข้อขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงพืชอาหารเพื่อผลิตพลังงานในปัจจุบันได้
   
เทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับ 8-10 มาจากสาขาด้านสุขภาพ ที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องและใกล้ตัวเรามากที่สุด  โดยอย่างแรกก็คือ จีโนมิกส์ส่วนบุคคล (Personal Genomics) หรือเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์  โดยใช้เทคนิคการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรม   ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก หลังจากที่มีการหาลำดับสารพันธุกรรมในจีโนมิกส์มมนุษย์สำเร็จ ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการหาลำดับเบสถูกลง จนคาดว่าจะเหลือประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน1-3 ปีข้างหน้า ทำให้การค้นหายีนส์ความเสี่ยงการเกิดโรคเพื่อการรักษาในระดับบุคคลมีความเป็นไปได้มากขึ้น
   
เทคโนโลยีต่อมาก็คือ ระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน (Drug Delivery System หรือ DDS) เนื่องจากอุตสาหกรรมยา ต้องใช้การลงทุนสูงและมีความเสี่ยงทำให้การค้นหาตัวยาใหม่ ๆ มีน้อยลง บริษัทผู้ผลิตจึงหันไปหาเทคนิคใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยาที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน  จะช่วยให้การนำส่งยานั้นไปสู่ต้นตอของโรคได้ดีขึ้น สามารถควบคุมการปลดปล่อย หรือเพื่อให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกับการรักษาโรคมะเร็ง  ที่จะทำให้เกิดอาการข้างเคียงน้อยที่สุด
   
และสุดท้ายเทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 10 ก็คือ อวัยวะซ่อมเสริมเติมสร้าง (Artificial Organ)  ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แบบสุด ๆ  ที่ ดร.ทวีศักดิ์  บอกว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น แต่คนสูงอายุหรือผู้พิการย่อมมีความเสื่อมถอย หรือสูญเสียอวัยวะ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องสร้างอวัยวะเทียมขึ้นมาทดแทน  
   
ทั้งนี้การสร้างอวัยวะเทียมนั้นมี 3 แนวทางก็คือ 1. การสร้างจากสารอนินทรีย์ เช่น หัวใจเทียม หรือมือเทียมที่สามารถทำงานได้ดี  2. การปลูกเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ บนโครงสร้างที่สามารถสลายตัวได้ภายหลัง  ซึ่งล่าสุดคณะแพทย์ในสวีเดนได้ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดนำหลอดลมที่ใช้สเต็มเซลล์ให้กับผู้ป่วย และ 3. การใช้อุปกรณ์ไฮเทคทดแทนอวัยวะจริง เช่น โครงกระดูกภายนอกที่ใช้ระบบไฮดรอลิกร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้คนสามารถยกน้ำหนักที่มาก ๆ ได้อย่างสบาย   หรือชุดสูทหุ่นยนต์ที่ออกแบบให้กับผู้พิการแขนขาให้สามารถใช้งานได้เหมือนเป็นของจริงโดยรับคำสั่งตรงจากกล้ามเนื้อของผู้ใช้เอง
   
และนี่ก็คือ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง  ซึ่งเชื่อว่าอนาคตอันใกล้ และก้าวต่อไปของการใช้ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์  คงหลีกหนีเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่พ้นอย่างแน่นอน!!!.


เตือนผู้ใช้ Mac ระวังโทรจัน Flash Player


Intego บริษัทผู้เชี่ยวชาญระบบรักษความปลอดภัยได้โพสต์แจ้งเตือนเกียวกับมัลแวร์ตัวใหม่ไว้ในบล็อกของทางบริษัท แม้ทางบริษัทจะเพิ่งรับรายงานดังกล่าวจากผู้ที่ได้ดาวน์โหลดมัลแวร์ดังกล่าวเพียงรายเดียว แต่นั่นหมายความว่า โทรจันที่ว่านี้มีอยู่จริง และอาจกำลังถูกส่งไปให้กับผู้ใช้แมค เพื่อหลอกล่อให้คลิก โดยเฉพาะผู้ใช้แมคทียังไม่ได้ติดตั้งโปรแกรม Flash ทั้งนี้โทรจันที่ตรวจพบมีชื่อเรียกว่า Flashback (OSX/flashback.A) ผู้ใช้จะถูกหลอกให้คลิกลิงค์เข้าเว็บไซต์อันตราย เพื่อดาวน์โหลดตัวติดตั้งโปรแกรมเล่นแฟลช ซึ่งหากผู้ใช้แมครายนั้นตังค่าให้บราวเซอร์ Safari เปิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติ (.pkg และ mkpg) โปรแกรม Flash Installer ที่โทรจันปลอมตัวมา จะแสดงขึ้นบนเดสก์ทอปของหน้าจอ และดำเนินขั้นตอนการติดตั้งในลักษณะที่เหมือนของจริงทุกประการ ยกเว้นสิ่งที่ติดตั้งเข้าไป



หลังจากโทรจันในคราบของ Flash Player Installer ได้ติดตั้งตัวเองเข้าไปแล้ว งานแรกของมันคือ ปิดการทำงานของซอฟต์แวร์ระบบรักษาความปลอดภัย (แม้แต่โปรแกรมยอดนิยมอย่าง Little Snitch ก็โดนด้วย) หลังจากนั้นมัลแวร์จะติดตั้งชุดคำสั่งที่สามารถแทรกโค้ดอันตรายเข้าไปรันในแอพพลิเคชันใดๆ ที่ผู้ใช้เปิดขึ้นทำงาน นอกจากนี้ Flashback ยังมีการส่งค่า MAC address ในเครื่องของเหยื่อกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮคเกอร์บนอินเทอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบว่า เครื่องของเหยื่อรายนั้นๆ โดนเล่นงานแล้ว หรือยังอีกด้วย


แม้ทาง Intego จะกำหนดให้ความเสี่ยงจากภัยคุกคามนี้อยู่ในระดับต่ำ แต่ผู้อ่านเว็บไซต์ arip ที่ใช้แมคอยู่ในขณะนี้ก็ควรจะระวังตัวเองไว้ด้วย โดยทางบริษัทแนะนำว่า ไม่ควรเปิดไฟล์ต่างๆ หรือไฟล์แนบจากผู้ส่ง หรือองค์กรที่คุณไม่รู้จัก ปิดฟังก์ชันการรันไฟล์ทีเซฟจากดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติ (auto-open: Open safe files after downloading) นอกจากนี้ ปัจจุบันทาง Apple ได้มีการอัพเดทไฟล์นิยามมัลแวร์ (malware definition file) ที่รวมถึงอัพเดทของโทรจัน PDF ซึ่งมีการตรวจพบเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย คาดว่า Apple จะอัพเดทโทรจัน Flashback ในเร็วๆ นี้เช่นเดียวกัน

ที่มา: เว็บไซต์ในข่าว: Apple 27 กันยายน 54

The Girl with the Dragon Tattooฉบับอเมริกัน และ"ไทม์ไลน์"ของเล่นใหม่จากเฟซบุ๊ค


บทเพลงมักบอกเล่าเรื่องราวบางอย่างในชีวิตมนุษย์ ทั้ง สุข เศร้า เหงา เดียวดาย ผิดหวัง สมหวัง

เมื่อวงร็อครุ่นเก๋าอย่าง R.E.M. ประกาศยุบวง หลังโลดแล่นในวงการดนตรีมานานกว่า 31 ปี แน่นอนว่านั่นทำให้หลายคนหวนรำลึกถึงบทเพลงต่างๆของพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในเพลงเหล่านั้น ต้องมีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

"Sometimes everything is wrong. Now it′s time to sing along
When your day is night alone, (hold on, hold on)
If you feel like letting go, (hold on)
When you think you′ve had too much of this life, well hang on"


เมื่อต้องไปนั่งดูหนังท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ โหด เถื่อน และกักขฬะ จำนวนนับร้อยคน คุณจะรู้สึกอย่างไร เมื่อบริษัทผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังผุดไอเดียโฆษณา โดยการนำหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ผู้หลงไหลในการขับรถมอเตอร์ไซค์ เข้าไปนั่งจนเต็มโรงหนัง และแกล้งเหลือที่นั่งว่างไว้เพียงสองที่ เมื่อเหยื่อหลงเข้ามา พวกเขาจะทำอย่างไร และเมื่อเข้ามานั่งท่ามกลางหนุ่มหน้าโหดเหล่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา โปรดติดตามชม



เกาหลีเหนือ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังคงไม่เผยโฉมต่อชาวโลกมากนัก และสร้างปริศนาต่อหลายๆคนว่าที่นั่นเขาทำอะไรกัน

เมื่อมีคนหัวใส นำเอาบทเพลงมันๆ "Party Rock Anthem" ของวง LMFAO มาประกอบภาพการแสดงต่างๆของที่นั่น จึงทำให้เรารู้ว่าดนตรีเป็นภาษาสากลที่ไม่มีการแบ่งแยกจริงๆ
 

จากที่รอคอยกันมานาน ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The Girl with the Dragon Tattoo ซึ่งดัดแปลงมาจากหนึ่งนวนิยายสอบสวนไตรภาคชื่อดัง "Millennium series" ของ"สตีก ลาส์สัน" นักเขียนชาวสวีเดน  ในฉบับอเมริกัน โดยผู้กำกับมือทอง "เดวิด ฟินเชอร์" ก็ได้เผยโฉมต่อผู้ชมเสียที หนังมีกำหนดฉายในสหรัฐฯและแคนาดาวันที่ 21 ธันวาคมนี้


และท้ายสุด บริการใหม่ที่ยังไม่แกะกล่องของเฟซบุ๊ค ที่ใช้ชื่อว่า "ไทม์ไลน์" ซึ่งมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เพิ่งประกาศตัวไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ลองมาชมว่ามีลูกเล่นอะไรบ้าง ถูกใจ หรือไม่ถูกใจสาวกเฟซบุ๊คหรือไม่ โปรดติดตามชม



                                      


ที่มา: matichon online









วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

เคเบิ้ล 3 หัว ซิงค์-ชาร์จ Android+Apple

บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ หรือชาร์จเจอร์ ต่างก็พยายามที่จะพัฒนาสายสัญญาณที่สามารถถอดเปลี่ยนคอนเน็คเตอร์ เพื่อให้ใช้งานกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้มากมาย แต่หากคุณต้องการสายเคเบิ้ลสักเส้นหนึ่งที่สามารถใช้ซิงค์ และชาร์จอุปกรณ์ gadget ต่างๆ กับคอมพิวเตอร์ คำตอบที่คุณต้องการอาจจะหมายถึงสายสัญญาณ 3 หัวต่อที่นำมาฝากกันก็ได้




USB Fever ได้ออกสายเคเบิ้ลรุ่นใหม่ที่ช่วยให้คุณไม่ต้องพกพาชุดเปลี่ยนคอนเน็คเตอร์กับสายสัญญาณ เพื่อใช้ซิงค์ และชาร์จแบตฯให้วุ่นวายอีกต่อไป เนื่องจากสายสัญญาณทีนำมาฝากกันนี้จะมาพร้อมกับคอนเน็คเตอร์ 3 แบบให้พร้อมใช้งานได้ทันทีได้แก่ micro-USB ตามด้วย mini-USB และคอนเน็คเตอร์ 30 พินของ Apple โดยอีกด้านหนึ่งของสายสัญญาณที่อยู่ในรอกม้วนสายอัตโนมัติจะเป็นพอร์ต USB ที่ใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์


ด้วยไอเดียการออกแบบให้มาพร้อมกับคอนเน็คเตอร์ถึง 3 ชนิดเรียงร้อยต่อกันไป ทำให้คุณผู้อ่านของเว็บไซต์ arip สามารถพกพาสายเคเบิ้ลนี้เพียงเส้นเดียว เพื่อใช้กับแก็ดเจ็ตต่างๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน iPhone หรือแท็บเล็ต Android ฯลฯ เรียกว่า ได้มีสายเส้นนี้เส้นเดียวชาร์จ และซิงค์ได้แทบทุกอุปกรณ์ ความยาวของสายประมาณ 30 นิ้ว รวมกับความยาวของคอนเน็คเตอร์ 3 หัวอีก 4 นิ้ว สนนราคาของมันอยู่ที่ 12 เหรียญฯ หรือประมาณ 360 บาท

ที่มา : ข้อมูลจาก: USB Fever


จับตา "ไซเบอร์ วอร์" กระทบหลายมิติความมั่นคง


เสียงสะท้อนจากผู้เชี่ยวชาญกับการเฝ้าระวังภัยคุกคามไซเบอร์

สังคมทุกวันนี้ต้องทำใจยอมรับว่า คนหน้าเนื้อใจเสือที่ภายนอกทำเป็นดี หน้าตาเปื้อนยิ้ม แต่ข้างในแฝงความร้ายกาจเอาไว้มีอยู่จริง (จำนวนมาก) จึงไม่แปลกที่หน่วยงานทางการทหารของหลายประเทศเริ่มตื่นตัว และพยายามสร้างเกราะป้องกันตนเองไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้
หนึ่งในเกราะเหล่านั้น คือ การป้องกัน "การคุกคามทางไซเบอร์" ที่ไม่ว่าผู้ก่อการจะทำขึ้นเพื่อความสนุก หรือมีเจตนาร้ายเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายต้องมีใครสักคน หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ต้องรับผลที่เกิดขึ้นไม่มากก็น้อยตามแรงผลักที่ถูกส่งเข้ามา
นอกจากประเด็นความมั่นคงของประเทศ ที่ทำให้เกิดชนวนการพัฒนาระบบไอทีเสริมสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์หลังบ้าน ยังมีอีกหลายมิติที่เชื่อมโยงไปถึงการพิทักษ์สิทธิของมนุษย์ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้หากมองเพียงผิวเผิน
วันนี้ มีเสียงสะท้อนจากบุคคลระดับผู้นำจากหลากหลายวงการที่เกี่ยวข้องมาชี้ให้เห็นว่า หนทางที่ประเทศไทยกำลังเดินไปมีสิ่งใดบ้างที่ต้องหยุด และหันกลับไปพินิจพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ
กระบวนการยุติธรรมต้องเข้มแข็ง  นายดล บุนนาค นักกฎหมายศาล ผู้พิพากษา และหัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา ให้ความเห็นว่า ในมุมของนักกฎหมาย ปัญหามาจากการตีความ เช่น พ.ร.บ.ที่ไม่อาจร่างออกมาให้ด้านเทคนิคและกฎหมายเกิดความสมดุลกันได้ ขณะที่หากประเทศเกิดล่มจม จะเริ่มต้นด้วยอะไร ระหว่างกระบวนการยุติธรรมหรือเศรษฐกิจ ถ้าภายในไม่แข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นจะเกิดได้หรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ การค้าจากต่างประเทศคงไม่เข้ามา สุดท้ายก็ไม่มีเงินที่ไหนไหลเข้าประเทศ
"ศาลยังเป็นพวกอนุรักษนิยมอยู่ ทุกวันนี้องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยียังมีไม่มาก"
หัวหน้าศาลประจำสำนักประธานศาลฎีกา บอกว่า สิ่งที่ต้องระวังที่สุดคือคำพิพากษาที่ยังไม่ได้ประกาศ จำต้องเก็บเป็นความลับให้ดีที่สุด ปัจจุบันยังใช้วิธีการเขียนใส่กระดาษกันอยู่และจะทำเช่นนี้ต่อไปนอกเหนือจากความกังวลด้านความลับต่อคำพิพากษาซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจ ในส่วนงานอื่นๆ ที่เป็นแขน ขา ก็มีการใช้คอมพิวเตอร์ไม่ได้ปิดกั้นทั้งหมด แทบทุกท่านก็มีโน้ตบุ๊คเป็นของส่วนตัว  
ยิ่งรู้ได้รวดเร็วยิ่งได้เปรียบ 
ในฐานะผู้ที่ตระหนักดีว่าข้อมูล คือ หัวใจสำคัญเพียงใด นางจันทิมา สิริแสงทักษิณ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เสนอมุมมองว่า ความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นเรื่องใหม่ เมื่อตัดสินใจร่างนโยบายเพื่อสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันแล้ว ต้องมองให้ลึกถึงผลที่จะตามมาว่าทำได้จริงดังหวังหรือไม่
เธอมองว่า เรื่องนี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือปรึกษาเซียนไอทีว่าควรใช้วิธีการใด ผู้ใดที่ได้ศึกษาข้อมูลคือผู้ชนะ ใครยิ่งรู้เร็วยิ่งได้เปรียบ ที่เห็นส่วนใหญ่เป็นประตูหน้ามักแข็งแรง แต่ข้างหลังเข้าออกได้สบาย
"หัวใจสำคัญประกอบด้วยการรักษาความลับ ความถูกต้องครบถ้วน และความพร้อมที่จะดึงข้อมูลออกมาใช้ ปัจจัยสำคัญต้องมีทั้งด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุม ระบบอินฟราสตรัคเจอร์ กระบวนการที่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย นโยบายระเบียบแนวปฏิบัติและมาตรฐาน สุดท้าย คือ บุคลากรที่ต้องทำงานแบบเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน กรมใครกรมมัน"
 ขณะที่ ผู้บริหารระดับสูงต้องลงมาดูด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่อาจเกิดอะไรขึ้นมาได้ ประเทศไทยมีกฎหมายออกมาตลอดเวลา แต่ไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับ
ทุกคนต้องมีจิตสำนึกร่วมกัน นายกำพล ศรธนะรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับการหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) มีแนวคิดว่าการรักษาความมั่นคงต้องเกิดตั้งแต่การควบคุมจากภายในด้วยธรรมาภิบาล โดยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง คือ  ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประโยชน์ให้กับองค์กร
"ถ้าจะทำลายคู่แข่งต้องทำแบบสร้างสรรค์ คิดหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เสริมความได้เปรียบการแข่งขัน และสำคัญที่สุด คือ ต้องทำให้คนภายในมีจิตสำนึกร่วมกัน"  
ส่วน นายศุภกิจ รัตถิวัลย์ จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า งานที่ทำมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เมื่อโยงไปด้านกลาโหม ขอบเขตจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับความมั่นคงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะนี้ ยอมรับว่าระบบไอทียังไม่พร้อม อาจเกิดความเสี่ยงได้รอบด้าน ต้องหาแนวทางอุดช่องโหว่ให้ได้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานได้เริ่มเดินหน้าร่างโรดแมพจัดทำโครงการต่างๆ ให้เกิดการเชื่อมโยง แบ่งปันข้อมูลระหว่างกันจากทั้งหน่วยงานภายในและนอกประเทศ รวมถึงตรวจสอบว่า ส่วนประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายต่างๆ รองรับเหตุการณ์ได้ทุกมิติหรือไม่ 


ที่มา:  กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ไอที-นวัตกรรม วันที่ 19 กันยายน 2554 

เคส iPhone ที่ช่วยคุณหา"พวงกุญแจ"ได้

นอกจากเรื่องของแฟชั่นแล้ว การออกแบบเคส iPhone วันนี้ ยังมีการให้ความสำคัญเรื่องฟังก์ชันที่นอกเหนือจากการเป็นแค่เคสกันกระแทก หรือรอยขีดข่วนเท่านั้น เพราะสำหรับ Bungee Air ของ Kensington มันเป็นเคสที่ช่วยให้คุณไม่ลืมทิ้ง iPhone หรือ กุญแจ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้อย่างแน่นอน



Bungee Air จาก Kensington เป็นเคสใส่ iPhone 4 ที่มาพร้อมกับพวงกุญแจ และแอพฯ ที่ช่วยให้คุณไม่ลืมมองหา และป้องกัน iPhone 4 ของคุณจะถูกแอบดูข้อมูลได้ เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่ iPhone และพวงกุญแจถูกแยกจากกัน BungeeAir จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนบนพวงกุญแจ (และ iPhone) พร้อมกับล็อคหน้าจอ iPhone ซึ่งนอกจากแอพฯ ที่มาด้วยกันจะช่วยแจ้งเตือนไม่ให้ลืมสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว (iPhone 4 กับพวงกุญแจ) คุณยังสามารถตั้งค่าของระบบรักษาความปลอดภัย ตลอดจนระยะห่างที่จะให้มันแจ้งเตือนได้อีกด้วย หากคุณผู้อ่านเว็บไซต์ arip ยังนึกภาพการทำงานไม่ออก ลองดูคลิปข้างล่างนี้ได้เลยครับ



อย่างทีได้บอกไปแล้วข้างต้นว่า การทำงานของ BungeeAir จะสามารถแจ้งเตือนได้สองทาง เพราะฉะนั้นในกรณีที่คุณหาพวงกุญแจไม่พบ คุณก็สามารถสั่งให้มันร้องเตือนผ่านแอพฯ เพื่อจะได้มองหามันได้อีกด้วย



BungeeAir เคส iPhone ของ Kingsinton จะวางตลาด 2 เวอร์ชันด้วยกันคือ เคสที่มากับแบตเตอรี่ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ iPhone สนทนาได้นานขึ้นถึง 4 ชั่วโมง ซึ่งจะมีราคาอยู่ที่ 100 เหรียญฯ (ประมาณ 3,000 บาท) แต่ถ้าต้องการแค่ระบบกันลืม และรักษาความปลอดภัย เคสรุ่นนี้จะมีราคาอยู่ที่ 80 เหรียญฯ หรือประมาณ 2,400 บาทครับ

ที่มา : ข้อมูลจาก AmazonKensington

การแข่งขันสุดพิลึก!!! ล้างจมูกชิงแชมป์โลก และ เจไดในเวอร์ชั่นลูกแมว


การแข่งขันสุดพิลึก!!! ถ้าไม่บอกก็คิดไม่ออกว่าจะมีการแข่งขันล้างจมูกชิงแชมป์โลก บนโลกมนุษย์ใบนี้ โดยวิธีล้างจมูกนั้นจะสูดน้ำเข้าไปจมูกข้างหนึ่งและพ่นมาอีกข้างหนึ่ง ใครใช้ปริมาณน้ำไปมากที่สุดก็ชนะไปตามระเบียบ





เจไดในเวอร์ชั่นลูกแมว ที่มีทั้งยานลูกและดาบเลเซอร์

ที่มา: http://www.matichon.co.th  วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554 



วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

เผยโฉม Windows 8 ระบบปฏิบัติการตัวล่าสุดจากไมโครซอฟท์

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่กับระบบปฎิบัติการตัวล่าสุดที่จะฉีกระบบปฏิบัติการวินโดวส์แบบเดิม ๆ ด้วยคุณสมบัติและรูปลักษณ์หน้าตาแบบใหม่ ล่าสุดไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows 8 ในงาน "Build" ที่ทางไมโครซอฟท์จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่นักพัฒนาในการสร้างโปรแกรมเพื่อใช้งานบนวินโดวส์ 8



หน้าจอ Lock screen

Windows 8 มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ๆ มีการเปลี่ยนแปลงอินเตอร์เฟซหลักที่เรียกว่า"Metro-Styled" มีลักษณะเดียวกับอินเตอร์เฟสของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน 7 ไม่ใช่แค่การใช้งานบน NoteBook และ PC แต่ระบบปฏิบัติวินโดวส์ 8 ยังทำงานได้บน Tablets และนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เช่น  Internet Explorer 10 , เชื่อมต่อและใช้งานร่วมกับสังคมออนไลน์ (Social Network ), สนับสนุนการใช้งานกับอุปกรณ์แบบ Touchscreen , ปรับปรุงสมรรถนะให้รวดเร็ว, Metro interface ที่ทำให้การใช้งานดูหรูหราและน่าทึ่ง และ Windows App Store เป็นต้น


หน้าจอ Start Screen


หน้าตา Internet Explorer 10

ไมโครซอฟท์ระบุว่า Windows 8 นั้นยังมีพื้นฐานมาจาก Windows 7 แต่เพิ่มประสิทธิภาพ, ความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้, และเสถียรภาพของระบบ โดย Windows 8 จะกินหน่วยความจำน้อยลง ทำให้ทำงานได้ในเครื่องที่มีสเปคต่ำ  เพราะระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 สามารถใช้งานได้ในทุกๆ Device แม้แต่เน็ตบุ๊กที่ใช้ซีพียู Atom รุ่นแรก กับหน่วยความจำเพียง 1 GB ก็สามารถใช้งานวินโดวส์ 8 ได้ รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่ใช้งานอยู่บนวินโดวส์ 7 สามารถนำมาใช้งานบนวินโดวส์ 8 ได้เช่นเดียวกัน


ทั้งนี้ ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 สำหรับนักพัฒนา (Windows Developer Preview) เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ ทางเว็บ microsoft.com



ชมวิดีโอพรีวิวแรกสำหรับ  Windows Developer Preview บน Samsung tablet

ที่มา: http://hilight.kapook.com 





วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล

วันนี้ ทีมงาน ISB Online News ขอยกบทความที่แทรกไปด้วยข้อคิดดี ๆ ซักเรื่องมานำเสนอนะคะ ที่อาจจะดูแตกต่างไปจากทุกๆวัน  แต่ยังไงก็ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องไอทีอยู่ดี เพราะมันมาจาก apple คะ แต่ apple ที่ว่านี้ไม่ใช่ผลไม้นะคะ แต่มันเป็นเทคโนโลยีของแบรนด์ apple เค้าละคะ 



จากความสำเร็จของบริษัทแอปเปิล ทำให้หลายฝ่ายสงสัยและต้องการทราบว่า เบื้องหลังความสำเร็จและแนวคิดในแบบแอปเปิลนั้นเป็นอย่างไร
วันนี้เรามี 10 วิธีในการคิดต่างตามแบบแอปเปิล ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่ทำให้แอปเปิลพัฒนามาจนถึงวันนี้
เป็นที่รู้กันว่า พนักงานของบริษัทแอปเปิลตั้งแต่เริ่มทำงานมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาถูกปลูกฝังด้วยคำว่า Think Different หรือคิดต่าง ซึ่งแม้ว่าคำๆนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม และปฏิบัติตามได้ยาก แต่ดูเหมือนว่าพนักงานของแอปเปิลทุกคนจะเรียนรู้ และปฏิบัติตามได้อย่างไม่มีปัญหา ซึ่งที่ผ่านมา ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า การคิดต่างในแบบแอปเปิลนั้น ได้ทำให้บริษัทก้าวมาไกลเพียงใด
สตีฟ โทบัก ที่ปรึกษา นักเขียน และผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังของสหรัฐฯ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี ได้ทำการศึกษาบุคคลที่ร่วมงานกับแอปเปิล ที่เขาเปรียบเทียบว่า วัฒนธรรมแบบแอปเปิลเหมือนการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของบริษัทในสหรัฐฯ เพราะแอปเปิลได้ฉีกทุกกฎที่ทุกคนเคยทำไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโทบักได้ข้อสรุปออกมาเป็น 10 วิธีที่คิดต่างในแบบแอปเปิล ที่ทำให้บริษัทนี้ โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ และพลิกฟื้นจากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย มาเป็นบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลก ดังนี้
1. เสริมสร้างให้พนักงานคิดต่าง พนักงานคนหนึ่งของแอปเปิลกล่าวว่า สตีฟ จ็อบส์มักจะพูดเสมอว่าเราต้องทำสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น และเขาเชื่อว่าพวกเราทำได้
2. สิ่งที่สำคัญคือการให้คุณค่า อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อย พนักงานของแอปเปิลทุกคนเห็นว่าออฟฟิศเป็นสถานที่ที่สนุกที่จะทำงาน ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่กันอย่างไร้กฎระเบียบ ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่างานต้องเสร็จเรียบร้อย ซึ่งโทบักเคยเข้าประชุมร่วมกับผู้บริหารของแอปเปิล ที่มาร่วมประชุมด้วยเท้าเปล่า ที่น่าแปลกก็คือไม่มีใครสังเกตเห็นซะด้วยซ้ำ
3. รักและใส่ใจกับผู้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ
4. ทำทุกสิ่งที่สำคัญ และทำจากใจ โทบักตั้งข้อสังเกตว่า การบริหารงานของแอปเปิลนั้นจะไม่มีการแยกฝ่ายกันอย่างชัดเจน ทุกอย่างต้องทำภายใต้การรับผิดชอบร่วมกัน
5. ดูแลการตลาดอย่างใกล้ชิด จ็อบส์ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเป็นอย่างมาก โดยแอปเปิลจะไม่มีการจ้างบริษัทอื่นเพื่อมาทำการวิจัยทางการตลาด แต่พวกเขามีทีมเป็นของตัวเองในการรับผิดชอบเรื่องนี้
6. ควบคุมสาส์นที่จะสื่อออกไปถึงผู้บริโภค ซึ่งแอปเปิลจะมีวิธีการในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และการประชาสัมพันธ์บริษัทที่แตกต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
7. สิ่งเล็กๆน้อยๆก็อาจสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ พนักงานของแอปเปิลรู้ซึ้งถึงแนวคิดนี้เป็นอย่างดี ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ระหว่างการเปิดตัวไอโฟน 4 ซึ่งเป็นช่วงที่พนักงานทุกคนทำงานอย่างหนัก ผู้บริหารก็สั่งอาหารอย่างดีมาให้ บางสาขาถึงกับลงทุนจ้างพนักงานนวดมาเพื่อนวดคลายเส้นให้แก่พนักงานของแอปเปิลโดยเฉพาะ
8. อย่าปล่อยให้คนทำงานแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องปล่อยให้พวกเขาทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จ็อบส์เคยกล่าวเอาไว้ว่า หน้าที่หลักของเขาคือทำยังไงให้พนักงานทำงานดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคำตอบก็คือ เขาจะต้องคอยผลักดันให้พนักงานทุกคนก้าวหน้า
9. เมื่อคุณค้นพบว่าสิ่งนั้นทำแล้วได้ผล จงทำต่อไปเรื่อยๆ แอปเปิลเป็นบริษัทที่ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด และพัฒนาจนสิ่งนั้นๆล้ำหน้ากว่าคนอื่น
10. การคิดต่าง จ็อบส์เคยกล่าวไว้ในงานวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดว่า อย่าปล่อยให้เสียงหรือความคิดของคนอื่น ดังกว่าเสียงหรือความคิดของตัวคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่คุณคิดจะแตกต่างจากคนอื่นแค่ไหน จงเชื่อมั่นและทำต่อไป


ที่มา: ขอบคุณ 
VoiceTV




วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

วิจัยชี้ ยุคนี้คนติดเน็ตหนัก เลิกยากเท่าเหล้าบุหรี่!




ผลวิจัยชี้คนยุคนี้ติดโลกไซเบอร์ขนาดหนัก ไม่ได้เล่นจะ'ลงแดง'  เลิกยากเท่ากับเหล้าและบุหรี่
อินเตอร์เน็ตเปรียบเหมือนลมหายใจของคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว การไม่ได้เล่นเน็ตทำให้คน 'ลงแดง' ได้ นักวิจัยอเมริกันได้พบกับความจริงข้อนี้หลังพบว่าคนยุคนี้จะรู้สึก 'เศร้าและโดดเดี่ยว'เมื่อไม่ได้ 'ออนไลน์' ส่วนการ 'ออฟไลน์' นั้น ยากพอๆ กับการเลิกเหล้าหรือบุหรี่

ผลการสำรวจดังกล่าวเป็นของบริษัทวิจัยตลาด อินเตอร์สปีเรียนซ์ สำรวจคนกว่า 1,000คน ในเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ โดยผู้วิจัยขอร้องให้อาสาสมัครงดเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตนาน 24ชั่วโมง หลังจากนั้นพบว่า ร้อยละ 53รู้สึกเศร้าเมื่อไม่ได้เล่นเน็ต และร้อยละ 40รู้สึกเหงา โดยความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้แม้จะไม่ได้เล่นเน็ตในช่วงเวลาสั้นๆ บางคนถึงกับโอดครวญว่า เหมือนถูกตัดแขนทิ้ง

พอล ฮัดสัน ผู้บริหารอินเตอร์สปีเรียนซ์ กล่าวว่าอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีดิจิตอลกำลังแผ่ขยายอิทธิพลมาสู่ความสัมพันธ์ของคนเรา วิธีการในการสื่อสาร สายใยในชีวิตครอบครัว ชีวิตการทำงานและพฤติกรรมการจับจ่าย

งานวิจัยก่อนหน้านี้ของมหาวิทยาลัยรัฐแมรี่แลนด์ที่ขอร้องให้นักศึกษาที่เป็นอาสาสมัครจาก 12สถาบันทั่วโลกงดใช้เทคโนโลยีทั้งหมดรวมถึงทีวีและวิทยุนาน 24ชั่วโมง ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน เมื่อไม่มีการอีเมล์ ไม่มี เอสเอ็มเอส ไม่อัพเดตเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ ให้ใช้ได้เฉพาะโทรศัพท์บ้านและหนังสือ จากนั้นให้บันทึกความรู้สึกลงไดอารี่ พบว่า อาสาสมัครมีอาการ 'ลงแดง' คือมีอาการทางกายและทางจิตไม่แตกต่างจากการพยายามเลิกเหล้าหรือบุหรี่ นอกจากนั้นยังมีความรู้สึกหงุดหงิด กังวลและแปลกแยกและคอยแต่จะควานหามือถือซึ่งไม่มีอยู่ตรงนั้น


ที่มา: 
http://news.voicetv.co.th/technology/15385.html

ปรากฏการณ์ “สำลักดิจิตอล” เมื่อชีวิตเสพติด “FACEBOOK”


 “ลืมตาขึ้นมาเมื่อไหร่จะต้องคว้า BB  คอยเช็คเพื่อนๆว่าคุยอะไรกัน ซึ่งข้อความส่วนใหญ่จะไร้สาระ รถติด กินอาหารอะไรจะถ่ายรูปมาให้ดู ไปดูหนังฟังเพลง เล่นเกม และเรื่องผู้หญิง เรื่องเซ็กซ์ ส่วนเรื่องเรียนไม่ค่อยมีหรอก” ปรีชา นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ฉายภาพการ “อาการติดโซเชียลเน็ตเวิร์ก” เครือข่ายสุดฮิตของตัวเอง 

หนุ่มน้อยรายนี้ กล่าวยอมรับอีกว่า เขามักพะวงอยู่กับการแชทกับเพื่อนๆ และเล่นเกม วันละหลายชั่วโมง มีโลกส่วนตัวจนกระทั่งลืมคนในครอบครัว ละเลยการทบทวนบทเรียน ทำให้ผลการเรียนตก กระทั่งถูกพ่อขู่ว่าเกรดเทอมนี้ออกมาไม่ดีจะยึด BB  โดยปรีชาระบุว่า ถ้าถูกยึดไปจริงๆ คงเหมือนขาดอะไรไปซักอย่างหนึ่ง เพราะแค่เคยลืม BBไว้ที่บ้านยังรู้สึกว่าขาดการติดต่อกับเพื่อนๆ ทำให้เขาต้องปรับพฤติกรรมให้ดีขึ้น ด้วยการแชตกับเพื่อนเฉพาะหลังจากทำการบ้านและอ่านหนังสือเสร็จแล้ว 


ด้านรศ.ดร.จุลนี เทียนไทย อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในการเสวนา “เฟซบุ๊ค:เครือข่ายชีวิตในยุคดิจิตอลเจนเนเรชั่น”  ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า “เฟซบุ๊ก” เป็นโลกออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว แค่ปลายนิ้วคลิก “รับเป็นเพื่อน” ข้อความ คลิป และอื่นๆ จะแชร์ไปยังเพื่อนทุกคน
          
      
       “ขณะนี้ ผู้ที่มีอายุ 45 ปีลงมา ร้อยละ 80 เล่นเฟซบุ๊ก ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมไทยเป็นอย่างมาก เพราะสังคมออนไลน์เป็นสังคมที่เปิดโอกาสให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านช่องทางการสื่อสารอย่างเว็บไซต์ สามารถแสดงความเห็นได้อย่างอิสระ เป็นเครื่องมือที่สะท้อนอารมณ์ ความรู้สึกและการแสดงออกถึงความเป็นตัวตนผ่านทางการแสดงข้อคิดเห็นต่างๆ ขณะเดียวกันนักการเมือง หน่วยงานของรัฐและเอกชน ใช้เป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ และโจมตีฝ่ายตรงกันข้ามหรือคู่แข่ง”
          
      
       รศ.ดร.จุลนี ยกตัวอย่างข้อดีของระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้ ว่า อาจารย์สามารถใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับลูกศิษย์ สั่งการบ้าน รวมถึงติดตามการวิพากษ์วิจารณ์ของลูกศิษย์ที่เขียนระบายไว้ อีกทั้งยังทำให้เพื่อนที่ขาดการติดต่อกันหลายปีมาเจอกัน  นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่มากับเฟซบุ๊คเ  เช่น เกมสุดฮิตประเภทเกมสร้างฟาร์ม เกมบริหารร้านอาหาร  ที่มีส่วนช่วยปลูกฝังให้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ 


“อย่างเกมร้านอาหาร ซึ่งผู้เล่นจะต้องเข้ามาเล่นเกมตามเวลา เพื่อไม่ให้อาหารไหม้ มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนผัก ผลไม้ กับเพื่อนที่เล่นเกมเดียวกัน จะทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนที่เกมแม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ตามที อย่างไรก็ดี การเล่นเกมแบบสร้างสรรค์ดีกว่าเล่นเกมรุนแรง ซึ่งจะปลูกฝังพฤติกรรมก้าวร้าวโดยที่ผู้เล่นอาจไม่รู้ตัว”
          
      
       แต่สิ่งที่อาจารย์ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยารายนี้ รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากกำลังกังวล คือ “ยาพิษ” ที่มาพร้อมๆ กับการเชื่อมโยงผ่านโครงข่ายใยแมงมุมที่ถูกเรียกว่า “โลกไซเบอร์” อย่างCyber sex เปิดโอกาสและช่องทางให้บุตรหลายเข้าถึงเรื่องทางเพศมากขึ้น การเพิ่มช่องทางการรู้จักเพื่อนต่างเพศ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาไปสู่เรื่องชู้
          
      
       “ เฟซบุ๊กจึงเปรียบเสมือนเป็นดาบสองคม มีทั้งส่วนดี และส่วนที่เป็นปัญหา ส่วนดีคือมีประโยชน์ในด้านการสื่อสาร มีความสะดวกสบายในการรับรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้รวดเร็วมากขึ้น  ในแง่ปัญหา มีการส่งข้อมูลที่เป็นเท็จ มีการใส่ร้ายป้ายสีบุคคลอื่นสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น หรือมีการแสดงความเห็นผ่านตัวหนังสือที่สะท้อนอารมณ์ ก่อให้เกิดการมีกิ๊ก มีคุณแม่วัยใส ก็อยากแนะนำผู้ที่เล่นเฟซบุ๊ก ว่า อยากให้ทุกคนควรใช้วิจารณญาณข้อมูลที่ส่งผ่านมาทางเฟซบุ๊ค เลือกรับสิ่งที่มีประโยชน์” รศ.ดร.จุลนี ทิ้งท้าย

ที่มา: manageronline 



“กูเกิล” โละ 10 บริการ จัดระเบียบธุรกิจทำเงิน


                                                แลร์รี่   เพจ 

กูเกิล (Google) ประกาศโละบริการนับสิบพร้อมจัดระเบียบกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ เตรียมเทความสนใจให้ผลิตภัณฑ์ที่ทำเงินแก่บริษัทอย่างจริงจังกว่าเดิม ระบุการปิดบริการของกูเกิลจะดำเนินการต่อเนื่องตลอด 2-3 เดือนนับจากนี้ โดยทั้งหมดจะเป็นไปตามทิศทางที่ซีอีโอ “แลร์รี เพจ” มอง เพื่อให้กูเกิลสามารถอุทิศทรัพยากรแก่ผลิตภัณฑ์อนาคตไกลให้เต็มที่มากขึ้น

      
       อลัน อุสเทซ (Alan Eustace) รองประธานอาวุโสกูเกิล กล่าวถึงการปิดบริการนับสิบของกูเกิลที่เกิดขึ้นว่าเป็นการ “fall spring-clean” หรือการจัดระเบียบผลิตภัณฑ์และบริการของกูเกิลช่วงไตรมาส 3 ของปี ซึ่งการจัดระเบียบที่เกิดขึ้นจะเป็นการพิจารณาปลดระวางบริการบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงการดึงหลายบริการมาจัดกลุ่มใหม่และผสมผสานส่งเสริมกันเพื่อให้เกิดเป็นบริการใหม่ที่จะมีอิทธิพลมากกว่าเดิม
      
       “ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า กูเกิลจะหยุดให้บริการบางผลิตภัณฑ์ และจะรวมบางผลิตภัณฑ์ไปเป็นคุณสมบัติใหม่ในบริการที่มีอยู่แล้ว การทำเช่นนี้จะทำให้ผู้ใช้กูเกิลทำงานได้ง่ายขึ้น และยกระดับประสบการณ์โดยรวมของกูเกิลเอง”
      
       กูเกิลระบุในบล็อกบริษัทว่า การตัดสินใจปิดบริการครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้น และความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดนี้ทำให้บริการบางอย่างไม่มีความจำเป็น นอกจากนี้ การจัดระเบียบ fall spring-clean ยังแปลว่ากูเกิลจะอุทิศทรัพยากรไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีอิทธิพลต่อตลาดสูงได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณภาพชีวิตชาวเน็ตหลายพันล้านคนดีขึ้นตามไปด้วย
      
       บริการที่กูเกิลระบุว่าจะนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่น คือ FastFlip บริการที่ทำให้ผู้อ่านข่าวในบริการ Google News สามารถพลิกหน้าอ่านข่าวออนไลน์หลายสำนักพิมพ์ได้จากหน้าเพจเดียว โดยกูเกิลแถลงว่า Fast Flip แสดงให้เห็นตลอดการให้บริการช่วง 2 ปีที่ผ่านมาว่าทำให้ผู้ใช้สามารถชมคอนเทนต์ได้เร็วขึ้น ทำให้กูเกิลจะนำ Fast Flip มาติดในเครื่องมือนำส่งข้อมูลและแสดงหน้าจออื่นๆ ของกูเกิลต่อไป
      
       นอกจาก Fast Flip บริการที่กูเกิลจะนำไปต่อยอดในชื่อบริการอื่น คือ Aardvark บริการถาม-ตอบปัญหาส่วนตัวทางเว็บไซต์ Vark.com, ข้อความสนทนา (instant messaging), อีเมล หรือทวิตเตอร์ซึ่งกูเกิลซื้อมาในราคา 50 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปี 2010 โดยวิศวกรทั้งฝ่ายกูเกิล และ Aardvark ระบุว่าแม้จะปิดบริการ แต่ทั้งหมดจะยังพัฒนาความเชี่ยวชาญในการให้บริการต่อไป เนื่องจากคาดว่า Aardvark จะสามารถเป็นบริการค้นหาข้อมูลทางสังคมแนวใหม่ซึ่งจะมีอิทธิพลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า และกำลังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อให้บริการร่วมกับเครือข่ายสังคม Google+
      
       อีก 8 บริการที่กูเกิลจะปิดตัวลงนั้นได้แก่ Google Pack ชุดแอปฯ ที่กูเกิลจัดเตรียมมาอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ดาวน์โหลดได้ง่ายขึ้น บริการดังกล่าวถูกมองว่าหมดยุคเพราะปัจจุบันชาวเน็ตนิยมใช้งานแอปฯบนเว็บไซต์ แทนที่จะดาวน์โหลดมาติดตั้งในเครื่อง, Google Web Security บริการตรวจจับซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายผ่านอินเทอร์เน็ตซึ่งกูเกิลซื้อกิจการมาเมื่อปี 2007 กูเกิลระบุว่าจะยังสนับสนุนลูกค้าเก่าต่อไป และจะนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยนี้มาติดในผลิตภัณฑ์เว็บเบราว์เซอร์ของบริษัทอย่าง Chrome ต่อเนื่อง
      
       ยังมีบริการติดคำอธิบายภาพ (Tag) ในชื่อ Image Labeler ซึ่งกูเกิลเปิดให้ชาวออนไลน์ร่วมกันแข่งขันติด Tag ให้รูปภาพเพื่อให้ระบบค้นหาของกูเกิลสามารถวิเคราะห์ภาพได้ดีกว่าเดิม, บริการ Notebook บริการสมุดบันทึกออนไลน์ที่กูเกิลประกาศหยุดพัฒนามาตั้งแต่ปี 2009 โดยข้อมูลจะถูกย้ายไปเก็บที่บริการ Google Docs แบบอัตโนมัติ, บริการ Sidewiki คุณสมบัติหนึ่งของ Google Toolbar ที่ให้ชาวเน็ตสามารถแสดงความเห็นถึงหน้าเว็บไซต์ และ Subscribed Links คุณสมบัติหนึ่งของ Google Search ที่ช่วยให้นักเสิร์ชสามารถสร้างเงื่อนไขการค้นหาที่เจาะจงและบันทึกไว้อ่านแบบออฟไลน์ได้
      
       ที่สำคัญคือ Google Desktop บริการซอฟต์แวร์ค้นหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ กูเกิลระบุว่าระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ล้วนมีคุณสมบัติค้นหาประสิทธิภาพสูงติดอยู่ ทำให้ความจำเป็นในการใช้ Google Desktop ลดลงเรื่อยๆ กูเกิลจึงตัดสินใจหยุดให้บริการวันที่ 14 กันยายนนี้ รวมถึงบริการเครื่องมือสำหรับการเขียนโปรแกรมอย่าง Google Maps API for Flash ซึ่งหมดความนิยมใช้งานแล้วในขณะนี้
      
       ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ซีอีโอเพจแถลงไว้ในวันแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ของกูเกิล ว่าผลิตภัณฑ์ของกูเกิลจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ที่พนักงานกูเกิลทั่วโลกกว่า 28,000 คนจะร่วมกันผลักดันจริงจังต่อไป
      
       
“กลุ่มแรกคือ ผลิตภัณฑ์ค้นหาข้อมูลและโฆษณา ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้หลักให้กูเกิล ต่อมาคือกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าถึงคอนซูเมอร์ได้มาก เช่น YouTube, Android และ Chrome นอกนั้นเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ Google+, Commerce และ Local” ซึ่งกลุ่มหลังเป็นไปตามข่าวการเริ่มทดสอบบริการเครือข่ายสังคม การซื้อกิจการจำหน่ายดีลออนไลน์ รวมถึงการพัฒนากลุ่มธุรกิจเพื่อเข้าถึงร้านค้าในท้องถิ่น
       
ที่มา: manageronline วันที่ 7 ก.ย. 54