วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง


ถือเป็นไฮไลต์ของงาน “นาสด้า อินเวสเตอร์ เดย์ 2011”
ที่ผู้จัดอย่าง “ดร.ทวีศักดิ์  กออนันตกูล” ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) บอกว่า ซุ่มทำวิจัย หาข้อมูล และระดมสมองของนักวิจัยระดับหัวกะทิในสาขาต่าง ๆ จนได้มาซึ่ง 10 เทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อธุรกิจและชีวิตประจำวันในอนาคต
   
ปีนี้นำเสนอถึงเทคโนโลยีใน 4 สาขาที่กำลังได้รับความสนใจคือ ด้านไอที  วัสดุศาสตร์ พลังงานสะอาด และสุขภาพ




โดยเทคโนโลยีอันดับ 1 จากสาขาไอที ก็คือเทคโนโลยีเว็บเชิงความหมาย (Semantic Web) หรือเว็บ 3.0 ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอนาคตอันใกล้  ซึ่ง เว็บ 3.0 นี้ จะหมายถึง เทคโนโลยีที่มีแนวคิดที่จะเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเข้าด้วยกัน  เว็บไซต์อยู่ในรูปของการ อ่าน เขียน และการเชื่อมโยง ซึ่งไม่ใช่ในรูปแบบลิงค์เหมือนที่ใช้ในเว็บ 2.0 ที่ผ่านมา  นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถจัดการกับเว็บไซต์ของตนเองได้อย่างอิสระ 
ดร.ทวีศักดิ์  บอกว่า แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีเว็บจะมีสูงขึ้น เว็บไซต์จะไม่เป็นเพียงเครื่องมือในการค้นหาข้อมูล แต่ยังเป็นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในรูปบริการเบ็ดเสร็จ และเชื่อมโยงมีเดียในแต่ละแบบเข้าด้วยกัน  ซึ่งเว็บ  3.0  จะเป็นตัวช่วยในการบูรณาการสารสนเทศ  จัดเก็บ และนำเสนอ สามารถที่จะวิเคราะห์ จำแนกและจัดแบ่งได้ว่าข้อมูลนั้น ๆ มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในระดับอื่น ๆ อย่างไร
   
สำหรับเทคโนโลยีอันดับที่ 2 ในสาขาเดียวกันนี้ก็คือ จอแสดงภาพ 3 มิติ (3D Display) ปัจจุบันจอแสดงภาพ 3 มิติ  มีการเติบโตสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อสามารถดูได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา 3 มิติ หรืออุปกรณ์เสริมจากภายนอก ซึ่งจอ 3 มิติในปัจจุบัน ใช้หลักการมองเห็นภาพสเตอริโอสโคปี และพาราแลกซ์ มาผสมผสานเข้ากับจอ
แสดงผลแบบผลึกเหลว จอพลาสมาและฉากรับภาพ  มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับเมื่อหลายสิบปีก่อน ทำให้มีการทำตลาดกันอย่างกว้างขวาง  คาดกันว่า อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์โทรทัศน์ 3 มิติ จะสูงถึง 64 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 ส่วนจอมือถือแบบ 3 มิติจะเติบโตสูงสุดด้วยจำนวน 71 ล้านเครื่องในปี ค.ศ. 2018 
   
จากการเติบโตของเทคโนโลยีนี้ ผอ.สวทช.บอกว่า ไทยไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของในทรัพย์สินทางปัญญา แต่สามารถร่วมเป็นผู้ผลิตได้โดยเฉพาะการผลิตเนื้อหาหรือดิจิทัลคอนเทนต์ที่จะประยุกต์ใช้งานกับอุปกรณ์ดังกล่าว
   
เทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 3  ซึ่งอยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์ก็คือ กราฟีน  (graphene) หรือวัสดุมหัศจรรย์ ที่เป็นชั้นของคาร์บอนอะตอมที่หนาเพียง  1 ชั้น มีโครงสร้างเหมือนตาข่ายรูปหกเหลี่ยม  กราฟีนถูกคาดหวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมไอที เนื่องจากมีคุณสมบัติน่าทึ่งหลายอย่าง เช่น แข็งกว่าเหล็กกล้าและแม้แต่เพชร แต่ยืดหยุ่นได้ถึงร้อยละ 20 นำไฟฟ้าได้ดีกว่าทองแดงและยังโปร่งแสงอีกด้วย 
   
จากคุณสมบัติดังกล่าว จึงสามารถนำกราฟีนไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมาย ทั้งวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หมึกนำไฟฟ้า จอภาพแบบสัมผัส ที่สามารถโค้งงอได้ โทรศัพท์มือถือ และชิปคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง เซ็นเซอร์ตรวจวัด แบตเตอรี่และอุปกรณ์กักเก็บพลังงานหรือโซลาร์เซลล์
   
ส่วนเทคโนโลยีอันดับ 4 และ 5 อยู่ในสาขาวัสดุศาสตร์เช่นกันคือ  จีโอพอลิเมอร์ (Geopolymer) และพลาสติกฐานชีวภาพ (Future Bio-based Plastics) โดยจีโอพอลิเมอร์ เป็นวัสดุจำพวกอะลูมิโนซิลิเกต ที่มีสมบัติทางกลดีมาก ทนไฟ และทนทานต่อสารเคมี สามารถนำของเสียและของเหลือใช้ เช่น เถ้าถ่านหิน เถ้าแกลบหรือดินขาวเผา มาเป็นวัตถุดิบ ปัจจุบันมีการนำวัสดุจีโอพอลิเมอร์ มาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง งานตกแต่งและอนาคตอาจจะมีการนำไปพัฒนาเป็นเซรามิกส์ที่ไม่จำเป็นต้องเผาที่อุณหภูมิสูงอีกต่อไป
   
สำหรับพลาสติกฐานชีวภาพหรือพลาสติกชีวภาพ  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดปัญหาโลกร้อนที่เกิดจากกระบวนผลิตพลาสติกที่สังเคราะห์จากปิโตรเลียมหรือน้ำมันดิบ  โดยเป็นพลาสติกที่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ มีทั้งแบบทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ หรือใช้สารตั้งต้นที่ไม่ได้มาจากวัตถุดิบที่เป็นปิโตรเลียม
   
เทคโนโลยีอันดับที่  6 มาจากสาขา พลังงานสะอาด  คือ เซลล์แสงอาทิตย์ประสิทธิภาพสูง ชนิดรอยต่อแบบเฮเทอโร (High efficiencyheterojunction solar cells) ซึ่งเป็นเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเซลล์ผลึกซิลิคอนทั่วไป มีค่าสัม ประสิทธิ์อุณหภูมิต่ำ สามารถใช้งานกับที่มีอุณหภูมิสูง ๆได้ดี จึงเหมาะกับประเทศไทย
   
ส่วนอันดับ 7 จากสาขาเดียวกันนี้คือ การพัฒนาเอทานอลจากวัสดุเซลลูโลส (Cellulosic biofuel)  เช่น เศษวัสดุการเกษตร พืช/ไม้โตเร็ว เป็นทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์เรื่อง การขาดแคลนพลังงาน ปัญหาโลกร้อน และข้อขัดแย้งเรื่องการแย่งชิงพืชอาหารเพื่อผลิตพลังงานในปัจจุบันได้
   
เทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับ 8-10 มาจากสาขาด้านสุขภาพ ที่กำลังได้รับความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องและใกล้ตัวเรามากที่สุด  โดยอย่างแรกก็คือ จีโนมิกส์ส่วนบุคคล (Personal Genomics) หรือเทคโนโลยีการตรวจวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์  โดยใช้เทคนิคการหาลำดับเบสของสารพันธุกรรม   ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปมาก หลังจากที่มีการหาลำดับสารพันธุกรรมในจีโนมิกส์มมนุษย์สำเร็จ ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการหาลำดับเบสถูกลง จนคาดว่าจะเหลือประมาณ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน1-3 ปีข้างหน้า ทำให้การค้นหายีนส์ความเสี่ยงการเกิดโรคเพื่อการรักษาในระดับบุคคลมีความเป็นไปได้มากขึ้น
   
เทคโนโลยีต่อมาก็คือ ระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน (Drug Delivery System หรือ DDS) เนื่องจากอุตสาหกรรมยา ต้องใช้การลงทุนสูงและมีความเสี่ยงทำให้การค้นหาตัวยาใหม่ ๆ มีน้อยลง บริษัทผู้ผลิตจึงหันไปหาเทคนิคใหม่ ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ยาที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันมากขึ้น ซึ่งระบบส่งยานำวิถีด้วยนาโน  จะช่วยให้การนำส่งยานั้นไปสู่ต้นตอของโรคได้ดีขึ้น สามารถควบคุมการปลดปล่อย หรือเพื่อให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะกับการรักษาโรคมะเร็ง  ที่จะทำให้เกิดอาการข้างเคียงน้อยที่สุด
   
และสุดท้ายเทคโนโลยีที่น่าจับตามองอันดับที่ 10 ก็คือ อวัยวะซ่อมเสริมเติมสร้าง (Artificial Organ)  ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แบบสุด ๆ  ที่ ดร.ทวีศักดิ์  บอกว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น แต่คนสูงอายุหรือผู้พิการย่อมมีความเสื่อมถอย หรือสูญเสียอวัยวะ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จำเป็นที่จะต้องสร้างอวัยวะเทียมขึ้นมาทดแทน  
   
ทั้งนี้การสร้างอวัยวะเทียมนั้นมี 3 แนวทางก็คือ 1. การสร้างจากสารอนินทรีย์ เช่น หัวใจเทียม หรือมือเทียมที่สามารถทำงานได้ดี  2. การปลูกเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ บนโครงสร้างที่สามารถสลายตัวได้ภายหลัง  ซึ่งล่าสุดคณะแพทย์ในสวีเดนได้ประสบความสำเร็จในการผ่าตัดนำหลอดลมที่ใช้สเต็มเซลล์ให้กับผู้ป่วย และ 3. การใช้อุปกรณ์ไฮเทคทดแทนอวัยวะจริง เช่น โครงกระดูกภายนอกที่ใช้ระบบไฮดรอลิกร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ทำให้คนสามารถยกน้ำหนักที่มาก ๆ ได้อย่างสบาย   หรือชุดสูทหุ่นยนต์ที่ออกแบบให้กับผู้พิการแขนขาให้สามารถใช้งานได้เหมือนเป็นของจริงโดยรับคำสั่งตรงจากกล้ามเนื้อของผู้ใช้เอง
   
และนี่ก็คือ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง  ซึ่งเชื่อว่าอนาคตอันใกล้ และก้าวต่อไปของการใช้ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์  คงหลีกหนีเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่พ้นอย่างแน่นอน!!!.