วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิธีง่ายๆช่วยประหยัดแบตมือถือสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตในช่วงน้ำท่วม


ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม อาจทำให้บางแห่งไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือมีใช้ในบริเวณจำกัด ทั้งผู้ประสบภัยและอาสาสมัครที่ไปช่วยเหลือ ต่างก็ต้องประหยัดแบตเตอรี่มือถือกันเพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น เนื่องจากอาจจะหาที่ชาร์จได้ลำบาก เพราะโทรศัพท์มือถือหรือ Tablet  เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการติดต่อสื่อสาร รายงานความเป็นไป และขอความช่วยเหลือ หากแบตเตอร์รี่มือถือหรือแท๊บเล็ตหมด อาจจะยากในการประสานขอความช่วยเหลือ ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็จะยากขึ้นตามไปด้วย แล้วจะทำอย่างไรให้แบตอยู่ได้นาน วันนี้มาทบทวนวิธีการประหยัดแบตสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตกัน

สรุปสาระสำคัญในการประหยัดแบตเตอร์รี่บนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต
1.ปิด Bluetooth ทันทีหากยังไม่ใช้ หูฟังไร้สาย หรือโอนไฟล์แบบไร้สายกับชาวบ้าน

2. เลิกใช้ Wireless Network ระบุตำแหน่ง หากคุณอยู่ศูนย์อพยพและไม่ไปไหนอยู่แล้ว ถ้าจะย้ายไปอีกที่หนึ่งค่อยเปิด Wireless Network ก็ได้

3. ปิด GPS ได้เลยกรณีไม่ใช่ เพราะถ้าเปิดไว้จะกินพลังงานมากๆ จะเปิดไว้เฉพาะยามจำเป็นในการเดินทางเท่านั้น

4. ยกเลิก Always-On Mobile Data สำหรับ Android ถ้าคุณไม่ค่อยใช้แอพที่ต่อเน็ตตลอดเวลา (แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้ ก็ไม่ต้องปิดก็ได้ แต่ถ้าไม่ลืมปิดได้ยิ่งดี)

5. ปิด Wi-Fi และ การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่าน 3G กรณีคุณไม่ใช้เน็ต  หากคุณต้องการใช้เน็ตจริงๆถ้ามีสัญญาณ Wi-FI ก็เปิดแต่ Wi-Fi ไม่ต้องเปิด Wi-Fi และ 3G พร้อมกัน โดยการเปิดรับสัญญาณ Wi-Fi นั้นจะกินพลังงานแบตน้อยกว่าแบบ 3G

6. ตั้งค่าเวลาดับหน้าจอ (Screen Timeout) ให้เร็วขึ้น  จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้พอสมควรทีเดียว

7. ตั้งค่าความสว่างให้แสงสว่างในมือถือน้อยลง หากมีโหมดอัตโนมัติก็ควรเลือกตั้งแบบอัตโนมัติ

8. หากคุณใช้จอแสดงผลแบบ Amoled บนมือถือและแท็บเล็ตละก็ ควรเลือก Wallper เป็นสีดำ จะช่วยประหยัดแบตได้มากขึ้น

9. สำหรับมือถือ Android , Nokia ที่มี Widget และรวมทั้ง Wallpaper แบบเคลื่อนไหว ควรเลือกแบบภาพนิ่งจะดีกว่า และลดการใช้ Widget ประดับหน้าจอ  เพราะจะทำให้มือถือของคุณจะต้องดึงข้อมูลเข้ามาแสดงผลในส่วนของการทำงานด้านหลัง (background) ตลอดเวลา หากมีเยอะก็ทำให้กินพลังงานแบตเยอะพอสมควร

10. ใช้ Task Manager คอยปิดโปรแกรมที่ทำงานตลอดเวลา ด้วยสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนี้ทำงานแบบ Multitasking  การเปิดแอพฯค้างไว้ในเครื่องหลายๆ ตัวโดยไม่ปิด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่ของคุณหมดเร็วได้เช่นกัน ดังนั้นหากคุณไม่ใช้แอพนั้นแล้วควรปิดการทำงานด้วย

11 ปิดคุณสมบัติการ push e-mail และปิดระบบการแจ้งเตือน เพราะในกรณีทีมีแอพฯหลายตัวอยู่ใน notification แบตเตอรี่ก็จะถูกใช้มากตามไปด้วย ระบบจะต้องมีการเชื่อมต่อไร้สาย (Wi-Fi, 3G, Edge, etc.) ไปยังเว็บไซต์ของแอพฯ เหล่านั้นตลอด

12. อัพเดทเฟิร์มแวร์ใหม่ให้สม่ำเสมอ เพราะการอัพเดททุกครั้ง มักจะมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดการพลังงานของแบตเตอรี่ให้ดีขึ้นด้วย

13.  เตรียมชาร์ททั้งแบตหลักและชาร์ทแบตสำรองด้วย หากแบตหมดก็เปลี่ยนมาใช้แบตสำรองมาใช้ต่อได้เลย
14. ใช้ที่ชาร์ทแบบพกพา มีทั้งที่ชาร์ทมือถือแบบ Mobile Booster ที่เก็บพลังงานสำรองจากไฟที่ชาร์ทกับไฟบ้านมาใช้ต่อกับมือถือได้ และที่ชาร์ทมือถือ iPhone แบบพลังงานแสงอาทิตย์ได้ด้วย
15. ที่ชาร์ทมือถือแบบรถยนต์ ถ้ามีก็เตรียมไว้ หากที่พักไม่มีที่ชาร์ทก็สามารถชาร์ทได้บนรถยนต์ที่มีพลังงานแบตเตอร์รี่ซึ่งใช้ได้ยาวนานอยู่

16. การชาร์ทแต่ละครั้งควรชาร์ทให้เต็ม และตอนใช้มือถือและแท็บเล็ตก็ควรใช้อย่างประหยัดและจำเป็นเท่านั้น เพื่อรักษาระดับพลังงานในแบตให้สูงสามารถใช้งานได้นานหลายวันในยามไม่มีไฟ

หากจำกันได้ it24hrs ได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับวิธีการประหยัดแบตฯกันแล้วทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS อย่าง iPhone , iPod Touch และ iPad และระบบปฏิบัติการ Android ทั้งรูปแบบสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต จากหลายยี่ห้อ รายละเอียดสามารถอ่านบทความและรายการย้อนหลัง


ที่มา : http://www.it24hrs.com 31 ตุลาคม 2554

หนุ่มใหญ่วัย 50 ปี ผู้ที่มี Nokia C7 ติดตั้งในแขนคนแรกในโลก

สมาร์ทโฟนกลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยนำเทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตของคนยุค ปัจจุบันสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งกับผู้พิการ   แม้ว่าก่อนหน้านี้หากกล่าวถึงอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนแบบหน้าจอ สัมผัสหรือ touchscreen แน่นอนว่าจะเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่กวนใจผู้พิการที่สามารถใช้มือได้เพียงมือ เดียวอย่างแน่นอน



แต่จากนี้ไปปัญหาดังกล่าวจะถูกขจัดออกไป เมื่อ Trevor Prideaux  ชายวัย 50 ปีจากประเทศอังกฤษ ได้ประดิษฐ์แขนเทียมที่มีสมาร์ทโฟน Nokia C7 ติดมาด้วย โดยการสร้างแขนเทียมพร้อมสมาร์ทโฟนดังกล่าวนี้ Trevor Prideaux  ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การแพทย์และ Nokia ประเทศฟินแลนด์ ที่ช่วยสานฝันในการใช้เทคโนโลยีของเขาให้เป็นจริง อย่างไรก็ตาม Trevor Prideaux  กล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาได้ทำการขอความช่วยเหลือไปยัง Apple สำหรับการสร้างโปรเจ็คนี้เช่นกัน แต่ในที่สุดแล้วก็กลายเป็น Nokia จากประเทศฟินแลนด์ที่ยื่นมือเข้ามาสร้างโปรเจ็คดังกล่าวนี้ให้เป็นความจริง

ที่มา: engadget,flashfly.net 31 ตุลาคม 2554

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"จ็อบส์"ปฏิญาณก่อนตาย ใช้เงิน"แอปเปิล"ทั้งหมด"ล้างบาง"โทรศัพท์"แอนดรอยด์"ให้ราบคาบ


 สตีฟ จ็อบส์ อดีตซีอีโอและผู้ก่อตั้งแอปเปิล เคยกล่าวไว้ว่า เขาต้องการ"ทำลาย"โทรศัพท์แบบแอนดรอยด์ให้ราบคาบ และเขาจะใช้เงินทั้งหมดของแอปเปิล และลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเขา หากว่าจำเป็น เพื่อทำเช่นนั้น

ข้อความดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในหนังสืออัตชีวประวัติอย่างเป็นทางการที่เตรียมออกวางจำหน่ายเร็วๆนี้ โดยจ็อบส์ได้เปิดเผยกับนายวอลเตอร์ ไอแซคสัน ผู้เขียนหนังสือว่า เขามองความคล้ายคลึงของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของกูเกิล กับระบบไอโอเอส ว่า เป็น"หัวขโมยตัวยง" ก่อนหน้านี้ แอปเปิลเคยดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายเรื่องสิทธิบัตรต่อผู้ผลิตโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบแอนดรอยด์

สำนักข่าวเอพี ได้กล่าวอ้างคำพูดที่ระบุในหนังสือดังกล่าวที่จ็อบส์กล่าวว่า เขาจะทำลายโทรศัพท์แอนดรอยด์ให้หมดสิ้น เพราะว่ามันขโมยความคิดของเขา และนั่นทำให้เขาอยากที่จะประกาศสงครามนิวเคลียร์กับมัน จ็อบส์ยังกล่าวว่า เขาจะใช้ลมหายใจที่ยังเหลือหากว่าจำเป็น และจะใช้เงินทุกสตางค์ของแอปเปิลที่มีอยู่ 40,000 ล้านดอลลาร์ในธนาคาร เพื่อทำแก้ไขสิ่งที่ถูกต้อง

สตีฟ จ็อบส์ และอีริค ชมิดท์

ความสัมพันธ์ระหว่างแอปเปิลและกูเกิลในอดีตเป็นไปอย่างราบรื่น ก่อนหน้าที่กูเกิลจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งในขณะนั้น นายอีริค ชมิดท์ ประธานของกูเกิล ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการของแอปเปิลด้วย

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เริ่มมีปัญหา เมื่อกูเกิลเปิดตัวระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2007 หรือ 10 เดือนหลังจากที่ไอโฟนรุ่นแรกออกวางจำหน่าย จนกระทั่งปัจจุบัน โทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 48% ขณะที่แอปเปิลมีเพียง 19% เท่านั้น

ก่อนหน้านี้แอปเปิลยื่นฟ้องบริษัทโทรศัพท์มือถือคู่แข่งจากไต้หวัน "เอชทีซี" ข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่แอปเปิลใช้รับมือกับการเติบโตของซอฟต์แวร์ "แอนดรอยด์"  ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

คำฟ้องของแอปเปิลที่ยื่นต่อคณะกรรมาธิการการค้านานาชาติของสหรัฐอเมริกา และศาลเขตเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ครอบคลุมโทรศัพท์ของเอชทีซีหลายรุ่น ในจำนวนนั้นได้แก่ เน็กซัส วัน จี1 ฮีโร่ ดรีม และมายทัช 3จี ซึ่งทั้งหมดทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์จากกูเกิล โดยหน่วยงานทั้ง 2 มีอำนาจออกคำสั่งระงับการนำเข้าและการจัดจำหน่ายชิ้นส่วนและโทรศัพท์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้

ที่มา: มติชนออนไลน์ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กระทรวงต่างประเทศออกแถลงการณ์ชี้แจง หลัง"ยูเอ็น" ย้ำ ไทยต้องแก้กฎหมายหมิ่นฯ–พ.ร.บ.คอมพ์ฯ


‘แฟรงค์ ลา รู’ ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพด้านการแสดงออก ออกแถลงการณ์จากกรุงเจนีวา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยจัดเวทีสาธารณะเพื่อแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ –พ.ร.บ. คอมพ์ฯ พร้อมเสนอความร่วมมือกับ ‘คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย’ เพื่อแก้ไข กม. ดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ‘แฟรงค์ ลา รู’ (Frank La Rue) ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพการแสดงออกแห่งสหประชาชาติ ส่งแถลงการณ์จากเจนีวา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ พร้อมเสนอตัวในการ ‘ร่วมมืออย่างสร้างสรรค์’ กับ ‘คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย’ เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) รัฐบาลไทยพึงมีพันธะผูกพันในการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยสากลที่ระบุไว้ในอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งรับรองสิทธิของบุคคลในการเสาะหา ได้รับ และเผยแพร่ข้อมูลและความคิดทุกประเภท

แฟรงค์ ลา รู กล่าวว่า ถึงแม้ว่าสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ทำให้จำเป็นต้องมีข้อจำกัดในบางสถานการณ์ที่จำเป็น เช่น การป้องกันสิทธิส่วนบุคคล และปกป้องความมั่นคงของชาติ แต่เขาชี้ว่า กฏหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มีความคลุมเครือและไม่ชัดเจน ประกอบกับบทลงโทษที่สูงเกินความเหมาะสม จึงจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิด้านเสรีภาพการแสดงออก ยังระบุว่า เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือ โดย “มีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับรัฐบาลไทย และคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมาย ผู้ซึ่งมีหน้าที่ทำการปฏิรูปกฎหมายไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล”

ทางไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ปฏิเสธที่จะให้ความคิดเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้ โดยกล่าวว่ายังไม่ทราบเรื่อง จึงไม่สามารถให้ความคิดเห็นทั้งในนามส่วนตัวหรือคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมายได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า ทางคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณากฎหมายหลายฉบับ ไม่ได้จำกัดแค่กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งโดยเฉพาะ

ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 โดยมีศาสตราจารย์คณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการอีก 10 คนซึ่งมาจากการสรรหา ประกอบด้วย สุนีย์ ไชยรส, ไพโรจน์ พลเพชร, สมชาย หอมลออ เป็นต้น โดยมีหน้าที่ “เพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็นอิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้นประกอบด้วย"

แถลงการณ์ฉบับเต็ม (แปลเป็นภาษาไทยโดยประชาไท)

ประเทศไทย/ เสรีภาพในการแสดงออก: ผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติแนะให้ไทย
แก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

เจนีวา – วันนี้ แฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษแห่งสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพในการแสดงออก แนะให้รัฐบาลไทยแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่าใครก็ตามที่ดูหมิ่น เหยียดหยาม อาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ ราชินี มกุฎราชกุมาร หรือผู้สำเร็จราชการ จะได้รับบทลงโทษโดยการจำคุก 5 – 15 ปี

“ผมสนับสนุนให้ประเทศไทย จัดทำเวทีหารือสาธารณะที่มีส่วนร่วมจากประชาชนอย่างกว้างขวาง เพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อผูกพันทางหลักสิทธิมนุษยชนสากล” แฟรงค์ ลา รู กล่าว “การดำเนินคดีโดยตำรวจศาลในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ได้เพิ่มสูงขึ้นมากนี่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขกฎหมายดังกล่าว”

ในขณะเดียวกัน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ยังถูกใช้เป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยอีกทางหนึ่ง โดยกฎหมายดังกล่าวมีบทลงโทษจำคุกห้าปี สำหรับการแสดงออกในอินเตอร์เน็ตที่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ หรือที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง

“โทษการจำคุกที่ยาวนานและความคลุมเครือของการแสดงออกว่าอะไรที่เข้าข่ายการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือเป็นภัยต่อสถาบัน ทำให้เกิดการเซ็นเซอร์ตัวเองและจำกัดการถกเถียงในเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ ซึ่งเป็นการทำลายสิทธิของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก” ลา รู กล่าว “มิหนำซ้ำ การที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สามารถฟ้องตำรวจด้วยข้อหานี้ และการดำเนินคดีลับ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นปัญหาดังกล่าวชัดเจนขึ้น”

ผู้ตรวจการพิเศษได้เน้นว่า ประเทศไทยเป็นภาคีในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมืองตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 ซึ่งมีพันธะผูกพันด้านสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายตามกฎหมาย รวมถึงพันธะในการรับรองสิทธิของคนในการเสาะหา ได้รับ และเผยแพร่ข้อมูลและความคิดทุกประเภท

ลา รู เข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ย่อมมาพร้อมหน้าที่และความรับผิดชอบ และด้วยเหตุผลนี้ ภายใต้สถานการณ์พิเศษบางอย่าง สิทธินี้อาจจะถูกจำกัดได้ เช่น การปกป้องสิทธิของบุคคลและการปกป้องความมั่นคงของชาติ

อย่างไรก็ตาม ในการป้องกันการใช้ข้อยกเว้นดังกล่าวไปในทางละเมิดเกินระบุไว้ในกฎหมาย ข้อกำหนดใดๆ ที่จำกัดสิทธิของเสรีภาพในการแสดงออก ต้องกำหนดชัดเจนและไม่คลุมเครือว่าการแสดงออกแบบใดที่ถูกห้าม พร้อมทั้งพิสูจน์ให้ชัดว่าจำเป็นและสอดคล้องกับจุดประสงค์ดังกล่าว

“ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มิได้เข้าข่ายข้อกำหนดนั้น กฎหมายดังกล่าวมีความคลุมเครือและกว้างมาก ส่วนบทลงโทษที่รุนแรง ก็เกินความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับการปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือความมั่นคงของชาติ” เขาตั้งข้อสังเกต

ผู้ตรวจการพิเศษ ยังแสดงความกังวลต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และการใช้โดยกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที) ที่ร่วมมือกับกองทัพไทยเพื่อปิดกั้นเว็บไซต์หลายพันแห่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันฯ

“ผมได้ยกข้อกังวลที่มีต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และความไม่สอดคล้องของกฎหมายดังกล่าวกับข้อพันธะทางสิทธิมนุษยชนสากลของประเทศไทย ในการรายงานอาณัติของผม” ลา รู กล่าว โดยระบุว่าประเด็นนี้ถูกพูดถึงในระหว่างกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิยูพีอาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาในกรุงเจนีวา

“ดังนั้น ผมยินดีที่จะมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์กับรัฐบาลไทย และคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผู้ซึ่งมีหน้าที่ทำการปฏิรูปกฎหมายไทยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล” แฟรงค์ ลา รู ระบุ

ที่มา: http://www.prachatai.com/journal/2011/10/37339

'ไวไฟ'ฟรีสะดุด! 'อนุดิษฐ์'โอด น้ำท่วมโครงข่ายพังยับ


 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที รับอาจต้องพักโครงการไวไฟฟรีหลังน้ำลด แจงลงพื้นที่สำรวจ พบโครงข่ายเสียหายต้องสร้างใหม่ ระบุเรื่องเร่งด่วน คือ ช่วยประชาชนหลังน้ำลด ไม่รับปากเดินหน้าไวไฟฟรีคู่ขนานไปด้วย...

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า ขณะนี้ การเดินหน้านโยบายให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายฟรีทั่วประเทศจากเดิมที่กำหนดว่าช่วงแรกจะเปิดให้บริการได้ประมาณเดือน พ.ย.นี้ ประมาณ 2-4 หมื่นจุดในที่ว่าการทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล องค์การบริหารส่วนตำบล สถานที่ท่องเที่ยว สนามบิน สถานีขนส่ง จุดที่เป็นจุดสำคัญ และโรงเรียน วันนี้อาจต้องพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากล่าสุด ลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วม พบว่า โครงข่ายหลายจุดได้รับความเสียหาย ต้องเร่งบูรณาการก่อน หากสามารถทำคู่ขนานเรื่องบริการไวไฟฟรีได้ ก็อาจได้ เห็น แต่ทุกอย่างต้องประเมินหลังน้ำลดอีกครั้ง

“วันนี้สิ่งที่ทุกกระทรวงฯ ต้องรีบดำเนินการ คือ ช่วยเหลือประชาชนหลังน้ำลด แม้ก่อนหน้านี้ กระทรวงฯ ทำโครงการไวไฟฟรี และกำหนดวันที่จะได้ใช้ในช่วงที่น้ำยังไม่ท่วม แต่เมื่อน้ำท่วมต้องปรับเปลี่ยนแผนการทำงานให้เหมาะสม เรื่องทำไวไฟฟรีไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้มีพื้นที่ 30 จังหวัด โดนน้ำท่วม ซึ่งโครงข่าย และสถานีฐานต่างๆ ถูกน้ำท่วม ต้องแก้ไขก่อน” รมว.ไอซีทีกล่าว

ทั้งนี้ แผนโครงการไวไฟฟรี รัฐบาลจะเป็นผู้ดำเนินการ โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ขณะที่ ไอซีทีจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนจะให้ใครดำเนินการเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยคาดว่าความเร็วในการใช้งานจะเปิดให้บริการอยู่ที่ 2 เมกะบิต สำหรับใช้รับ-ส่งอีเมล์ และเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสารพื้นฐาน

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์ 14 ตุลาคม 2554



Google ฉลองครบรอบวันเกิด 90 ปี อาร์ต โคลกีย์




โลโก้ google

Google.com มีอะไรน่ารัก ๆ มาให้จิ้มเล่นกันอีกแล้ว คราวนี้มาในรูปแบบของก้อนดินน้ำมันสีสันสดใส ที่พอลากเม้าส์ไปคลิก เจ้าก้อนดินเหล่านั้นก็ลุกขึ้นมาทักทาย โบกไม้โบกมืออย่างน่าเอ็นดู ทำให้หลายคนอยากรู้ว่าดูเดิ้ลนี้สร้างขึ้นมาเนื่องในโอกาสอะไรกันนี่ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยนำเรื่องราวของผู้ที่ทำให้เกิดดูเดิ้ลนี้ขึ้นมาฝากกันค่ะ


อาร์ต โคลกีย์
อาร์ต โคลกีย์

สำหรับดูเดิ้ลก้อนดินมีชีวิตวันนี้ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 90 ปี อาร์ต โคลกีย์ ผู้บุกเบิกการสร้างหุ่นดินเหนียวเคลื่อนไหวได้ (ก่อนจะพัฒนาเป็นดินน้ำมัน) ที่แม้จะเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปีก่อน แต่ชื่อของเขาก็ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ และมีความหมายในวงการหุ่นดินมีชีวิตไปแล้

อาร์ต โคลกีย์ (Art Clokey) หรือชื่อเดิมว่า อาร์เธอร์ ชาร์ลส์ แฟร์ริงตัน เกิดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1921 หรือ 90 ปีก่อน ที่เมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกนของสหรัฐ ครอบครัวของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาก็อยู่กับพ่อ แต่ไม่นานพ่อเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทำให้เขาจับพลัดจับผลูไปอยู่ในการอุปการะของ โจเซฟ โคลกีย์ นักดนตรีและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน และโจเซฟก็ได้ส่งเขาไปเรียนวิชาวาดรูป เขียนภาพ และทำภาพยนตร์ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ อาร์ต โคลกีย์ บนเส้นทางศิลปะ

อาร์ต โคลกีย์
อาร์ต โคลกีย์

Gumby และม้า Pockey ตัวละครหุ่นดินยอดนิยม

หลังจากนั้นมา อาร์ต โคลกีย์ ก็ได้สร้างสรรค์งานศิลปะหลายรูปแบบ และเริ่มจับงานปั้นหุ่นจากดินเหนียวอย่างเป็นจริงเป็นจังขณะเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ก่อนจะใช้วิชาการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อบุญธรรมมาปรับใช้กับงานปั้นดินเหนียว ก่อเกิดเป็นภาพยนตร์หุ่นดินเอนิเมชั่นที่เคลื่อนไหวได้บนหน้าจอโทรทัศน์ โดยภาพยนตร์หุ่นดินเรื่องแรกของเขานั้น คือเรื่อง Gumbasia ที่เปิดตัวเมื่อปี 1955 และหลังจากนั้นก็มีผลงานอย่างเป็นทางการบนหน้าจอโทรทัศน์เรื่องแรกออกมาเมื่อปี 1957 ชื่อเรื่อง The Gumby Show ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แถมยังถูกนำไปทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง Gumby: The Movie ในปี 1995 และนอกจากนี้ เขายังมีลูกชาย "จอร์จ โคลกีย์" ที่เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น สร้างสรรค์ผลงานหุ่นดินมีชีวิตอีกหลาย ๆ เรื่องต่อจากเขา ในช่วงที่เขาเริ่มอายุมากขึ้น

จนกระทั่งในวันที่ 8 มกราคม 2010 อาร์ต โคลกีย์ ก็เสียชีวิตลงในวัย 88 ปี ด้วยอาการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ โดยจากไปอย่างสงบขณะนอนหลับที่บ้านในรัฐแคลิฟอร์เนีย





ที่มา: ขอขอบคุณภาพประกอบจาก unpredictablethoughts.comcbsnewyork.files.wordpress.com,thequeenmadre.files.wordpress.comGoogle.com 13 ตุลาคม 54

10 อันดับของเมาส์ (Mouse) ที่แพงที่สุดในโลก!!

รวม 10 อันดับของเมาส์ที่แพงที่สุดในโลก แน่นอนว่าราคาไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่บางตัวนั้น แม้เราจะมีเงินถึงแต่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ เพราะเป็นรุ่น Limited Edition ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่ชิ้น เอาเป็นว่าดูเพื่อความบันเทิงเริงใจ 


1. Logitech Air 3D Laser Mouse in Gold Case (725,400 บาท)
เป็นเมาส์ยี่ห้อ Logitech ทำมาจากทองคำ !!
Click the image to open in full size.
2. Gigabyte bling-bling GM-M7800S wireless mouse (555,300 บาท)
เมาส์ยี่ห้อ Gigabyte ครับเป็นไวเลสทำจากหนังแท้ แนวคลาสสิค

Click the image to open in full size.

3. The Gold Bullion Wireless Mouse ( 1,105,050 บาท)
เป็นเมาส์ไวลเสครับ ทำมาจากทองคำ รูปทรงคล้ายๆ ทองแท่ง ราคาหลักล้านบาท เลยทีเดียว

Click the image to open in full size.

4. USB mouse covered with white gold (801,900 บาท)
ตัวนี้เป็นเมาส์สาย USB ทำมาจากทองคำขาว ราคาแปดแสนกว่าบาท !!

Click the image to open in full size.

5. Black Diamond Logitech mouse (955,200 บาท)
เมาส์ฝังเพชรจากยี่ห้อ Logitech ราคาเฉียดล้าน !!

Click the image to open in full size.

6. MJ- Luxury VIP Mouse (1,034,400 บาท)
ชื่อก็บอกแล้วครับตัวนี้ว่าเป็น VIP Mouse ทำมาจากเพชรและทองคำ ราคาล้านกว่าบาท

Click the image to open in full size.

7. Python Leather Mouse by MJ (535,200 บาท)
ทำมาจากหนังครับตัวนี้ ราคาเบาะๆ ครึ่งล้าน !!

Click the image to open in full size.

8. Gold Metal Sun Mouse from MJ777 edition (591,600 บาท)
ตัวนี้เป็นรูปทรงพระอาทิตย์ ทำมาจากทองคำ สนนราคาเกือบ 6 แสนบาท

Click the image to open in full size.

9. MJ Blue Sapphire Mouse (838,200 บาท)

Click the image to open in full size.

10. Crocodile skin Gold Mouse Ferrari (517,740 บาท)
ทำมาจากหนังจรเข้แท้ครับตัวนี้ ครึ่งล้าน


Click the image to open in full size.





ที่มา : dek-d.com

Windows 8 ลดการใช้"หน่วยความจำ"


ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้หน่วยความจำ (RAM) ในระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพื่อให้ผู้ใช้สามารถรันแอพพลิเคชัน และไฟล์ต่างๆ ได้มากขึ้น ในขณะที่มีการใช้หน่วยความจำน้อยลง เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ผู้ใช้พีซีที่รัน Windows 7 จะสามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการเป็น Windows 8 ได้อย่างแน่นอน


Bill Karagounis ผู้จัดการทีมพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของกลุ่มโปรแกรมจาก Microsoft ได้เปิดเผยถึงเทคนิคบางอย่าง ซึ่งทางบริษัทได้นำมาใช้ในการจัดการหน่วยความจำอย่างเหมาะสม หนึ่งในลูกเล่นดังกล่าวก็เช่น "การใช้หน่วยความจำร่วมกัน" โดยแต่เดิม แอพพลิเคชันต่างๆ บน Windows จะสามารถจองหน่วยความจำหลายๆ ส่วนจากหน่วยความจำระบบ ซึ่งอาจจะไม่ได้จำเป็นต้องใช้ตอนนี้ แต่อาจจำเป็นต้องใช้ในอนาคต นั่นหมายความว่า ยิ่งเปิดแอพพลิเคชันมากเท่าไร การใช้หน่วยความจำก็จะมากขึ้นไปด้วย สำหรับเทคนิคการรวมหน่วยความจำเข้าด้วยกัน Windows 8 จะมีการค้นหาหน่วยความจำระบบ แล้วตรวจสอบการใช้คอนเท็นต์ที่ซ้ำกัน จากนั้นยุบให้มันเหลือก็อปปี้เดียวในหน่วยความจำ ทำให้ได้หน่วยความจำคืนกลับมา และหากแอพพลิเคชันใดต้องการหน่วยความจำเพิ่มในการใช้งานขึ้นมาในอนาคต Windows 8 ก็จะจัดการหน่วยความจำส่วนที่เรียกว่า "private copy" ให้แอพฯ นั้นๆ กระบวนการใช้หน่วยความจำร่วมกัน (ของแอพพลิเคชันต่างๆ) จะช่วยให้หน่วยความจำระบบเหลือเพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ 10 - 100MB เลยทีเดียว



ในส่วนของการจัดการหน่วยความจำระบบ RAM บน Windows 8 โอเอสใหม่ของ Microsoft ยังได้มีการเข้าไปจัดการ"เซอร์วิส"ต่างๆ ด้วย โดยเมื่อคลิกบนแท็บ Services ใน Task Manager ผู้ใช้จะเห็นโพรเซสต่างๆ ที่อยู่ในหน่วยความจำขณะนั้น เพื่อทำให้ Windows 8 มีประสิทธิภาพในการใช้หน่วยความจำได้ดียิ่งขึ้น Microsoft ได้จลดเซอร์วิสต่างๆ ออกไปถึง 13 รายการ พร้อมทั้งเปลี่ยนเซอร์วิสจำนวนหนึ่งจาก automatic เป็น manual และ Start on Demand (ต้องการใช้งานเมื่อไรค่อยเปิดเซอร์วิสนั้นๆ) ด้วยการจัดการลักษณะนี้จะทำให้โอเอสไม่กินหน่วยความจำมากตลอดเวลา 


ผลจากการบริหารหน่วยความจำแบบใหม่จะทำให้ Windows 8 จองหน่วยความจำได้ฉลาดขึ้น โดยเฉพาะความพยายามที่จะทำให้เหลือหน่วยความจำว่างตลอดเวลา นั่นหมายความว่า ประสิทธิภาพโดยรวมของการทำงานของพีซีจะดีกว่าเดิม แม้พีซีที่ใช้รัน Windows 8 จะมีหน่วยความจำแค่ 1GB หรือ 2GB อย่างเช่น เน็ตบุ๊ค ซึ่งทางไมโครซอฟท์ได้เคยสาธิตการรัน Windows 8 บนเน็ตบุ๊คในงาน BUILD ที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบการใช้หน่วยความจำของ Windows 7 และ Windows 8 ภายใต้เงื่อนไขของระบบการทำงานที่เหมือนกัน พบว่า Windows 7 จะใช้หน่วยความจำระบบ 404MB ในขณะที่ Windows 8 ใช้เพียง 281MB หรือลดลงประมาณ 30% การลดการใช้หน่วยความจำ ยังทำให้ Windows 8 สามารถทำงานบนอุปกรณ์อย่าง "แท็บเล็ต" ตลอดจนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่มีหน่วยความจำไม่มากนักได้อีกด้วย ประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปด้วยก็คือ ยิ่ง RAM เยอะ พลังงานแบตฯ ก็ถูกใช้เยอะตามไปด้วย นั่นหมายความว่า ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับ Windows 8 นอกจากจะไม่ต้องมีหน่วยความจำมากแล้ว มันยังทำให้อุปกรณ์ใช้งานแบตฯได้นานขึ้นอีกด้วย

ที่มา: ขอบคุณเว็บไซต์ในข่าว Windows 8 Blog 12 ตุลาคม 54




วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ร่างพรบ.คอมพ์คลุมเครือ-ละเมิดสิทธิ



หลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 บังคับใช้ได้เพียง 3 ปีเศษ เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า กฎหมายฉบับนี้มีความคลุมเครือยากต่อการตีความ เกิดช่องโหว่ในการบังคับใช้ อีกทั้งยังถูกมองว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองในการปิดกั้นความคิดเห็นของประชาชน กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) จึงดำเนินการยกร่างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้แทนฉบับเก่า แต่ยังไม่ทันนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ก็เกิดการขับเคลื่อนจากหลายภาคส่วนเพื่อต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้ซ้ำอีก


ล่าสุดสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย จัดประชุมระดมความคิดเห็นจากอาจารย์ด้านกฎหมายและผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเสนอแนะปรับแก้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งยกร่างโดยกระทรวงไอซีที และอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีนางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) ในสังกัดกระทรวงไอซีที ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบการร่างกฎหมายฉบับนี้ร่วมรับฟัง
    
น.ส.สาวตรี สุขศรี อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า หลักการทั่วไปและโครงสร้างฐานความผิดต่างๆ ในร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ไม่แตกต่างจากฉบับปี พ.ศ.2550 คือมุ่งเน้นป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด แต่ไม่มีการบัญญัติในประเด็นที่รัฐต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้เลย อีกทั้งการบัญญัตินิยามคำศัพท์ก็เป็นไปอย่างกว้างๆ ยากต่อการตีความซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมาย เช่น "ระบอบคอมพิวเตอร์" ควรระบุให้ชัดว่า เฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลในงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น คำว่า "ผู้ให้บริการ" ควรเจาะจงเฉพาะผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ไม่ควรรวมถึงผู้ให้บริการด้านเทคนิค
    
"การบัญญัติคำไว้กว้างๆ จะมีผลต่อการตีความ เช่นในมาตรา 17 ว่าด้วยการกระทำความผิดด้วยการเปิดเผยมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ซึ่งเจตนาต้องการเอาผิดแฮ็กเกอร์ที่เจาะฐานข้อมูลผู้อื่นแล้วนำไปเผยแพร่ทำให้เกิดความเสียหายเท่านั้น แต่เมื่อไม่ระบุให้ชัด นักวิชาการคอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมเมอร์ ที่จำเป็นต้องถ่ายทอดความรู้เหล่านี้เพื่อพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ก็จะมีความผิดตามกฎหมายไปด้วย" อาจารย์สาวตรีกล่าว
    
อาจารย์ด้านนิติศาสตร์รายนี้กล่าวด้วยว่า ในมาตรา 22 ของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กำหนดความผิดของการส่งอีเมลไม่พึงประสงค์ (spam) ไว้เฉพาะที่เป็นประโยชน์ทางการค้าเท่านั้น ทั้งที่ควรควบคุมถึงสแปมเมลที่เผยแพร่ไวรัส โปรมแกรมสอดแนม อีเมลขอรับบริจาค อีเมลหลอกโอนเงิน หรือพวกโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งสแปมเมลเหล่านี้ไม่พึงประสงค์ทั้งสิ้น 
    
ในมาตรา 25 กำหนดโทษผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์ลักษณะลามกที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนไว้สูงคือจำคุกไม่เกิน 6 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อาจารย์สาวตรีมองว่า ยังคงคลุมเครือเพราะไม่ระบุให้ชัดว่า "ลักษณะลามกที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน" หมายความว่าอย่างไร อีกทั้งในข้อหานี้เจตนาเอาผิดผู้บริโภค ซึ่งอาจเกิดความไม่เป็นธรรม เพราะการใช้คอมพิวเตอร์แต่ละครั้งอาจมีไฟล์ภาพลามกดาวน์โหลดอัตโนมัติเข้าในคอมพิวเตอร์โดยผู้ใช้งานไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับต้องถูกดำเนินคดี ในรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้ผู้ร่างกฎหมายจะต้องคิดให้รอบคอบ
    
ขณะที่นายวันฉัตร ผดุงรัตน์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์พันทิป ให้ความเห็นว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ควรมุ่งเน้นปราบปรามอาชญากรรมคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง ไม่ควรครอบคลุมถึงการละเมิดลิขสิทธิ์ การหมิ่นประมาท และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เพราะความผิดลักษณะนี้มีกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว หากร่างกฎหมายให้ครอบคลุมอีกอาจทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการบังคับใช้ เช่นเดียวกับการเอาผิดกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตควรระบุให้ชัดว่าหากเกิดการกระทำผิดตามกฎหมายแล้วใครจะต้องถูกดำเนินคดีบ้าง
    
"ยกตัวอย่างผมเปิดเว็บไซต์แล้วมีเว็บบอร์ดไว้ให้สมาชิกโพสต์ข้อความ แต่มีสมาชิกโพสต์ภาพลามก กฎหมายระบุว่าผู้ให้บริการมีความผิดด้วย แล้วใครต้องรับโทษบ้าง เพราะผู้ให้บริการมีหลายระดับ ตั้งแต่เจ้าของบอร์ด เจ้าของเว็บไซต์ เจ้าของเซฟเวอร์ เจ้าของโฮลดิ้ง และการสื่อสารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งระบบ โดยส่วนตัวเห็นว่ากฎหมายควรระบุให้ชัดว่าผู้ที่ต้องรับผิดมีใครบ้าง" นายวันฉัตรแสดงความคิดเห็น
    
สอดคล้องกับนายชวรงค์ ลิมป์ปัทมณี ประธานชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ซึ่งเห็นว่า ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่กระทรวงไอซีทีดำเนินการอยู่ในขณะนี้ยังมีข้อบกพร่องในหลายประการ โดยเฉพาะในมาตรา 6 ที่กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขึ้นมารองรับการบังคับใช้กฎหมาย สัดส่วนคณะกรรมการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเสีย 13 คน จาก 16 คน และส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง เช่น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรอง และผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ โดยไม่มีตัวแทนภาคประชาชนที่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตรวมอยู่ด้วยแม้แต่คนเดียว 
    
"คณะกรรมการส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแสดงให้เห็นว่า เจตนาควบคุมการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต มากกว่าส่งเสริมพัฒนาการใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด อาจเข้าข่ายจำกัดสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน" นายชวรงค์แสดงความเห็น 
        
เช่นเดียวกับนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ยังคงรวมเอาความผิดเกี่ยวกับเรื่องหมิ่นประมาท การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเรื่องความมั่นคงมาบัญญัติไว้ในข้อกฎหมาย แทนที่จะมุ่งป้องกันปราบปรามความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง ซึ่งเห็นว่าหากไม่สามารถตัดฐานความผิดเหล่านี้ออกได้ ควรจะออกกฎหมายลูกเรียกว่า ป.วิอาญาอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นมารองรับเพื่อง่ายต่อการตีความ
    
ขณะที่นางสุรางคณายอมรับว่า ร่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ ยังสามารถปรับแก้ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนของการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งกระทรวงไอซีทีจะตระเวนรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศไปอีกระยะเพื่อปรับแก้ให้มีความเหมาะสมมากที่สุด หลังจากนั้นจึงนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎรก่อนจะประกาศบังคับใช้ต่อไป



** องค์การความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ต มีความเห็นว่า พรบ. ฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่คุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยของโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดี หากแต่ต้องมีการบังคับใช้ให้จริงจรังโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเข้ามาดูแล โดยเฉพาะการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ และการหาความร่วมมือจากหลายภาคส่วนให้ร่วมมือกันทำการประชาสัมพันธ์ในตัวบทกฎหมายให้ออกไปสู่สาธารณชนมากที่สุด โดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด และที่สำคัญเจ้าหน้าที่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับการสืบสวน สอบสวน จำเป็นต้องเป็นทราบ รู้อย่างถ่องแท้ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง และให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยอมรับว่ายังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องตัวเนื้อหาและฐานความผิดตามมาตราต่าง ๆ ที่ยังต้องระบุความชัดเจนให้มากกว่านี้ เพื่อลดความคลุมเครือ สับสน แก่ผู้ปฎิบัติตามกฎหมายครับ**


ที่มา: http://www.komchadluek.net

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ไอซีทีชี้แฮกทวิตเตอร์นายกฯ ผิดพ.ร.บ.คอมพ์

ไอซีทีชี้แฮกทวิตเตอร์นายกฯ @PouYingluck ผิดหลายกระทงตามพ.ร.บ.คอมพ์ ระบุไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะโอบามาก็เคยโดนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว


ยันไม่ได้นิ่งนอนใจประสานทุกฝ่ายหาตัวคนผิด แต่ยอมรับเป็นงานยากเพราะอาชญากรย่อมหนีการจับกุม เผยตอนนี้นายกฯใช้เฟสบุ๊ค Y.shinawatra สื่อสารกับประชาชนเพียงเดียว ทวิตเตอร์ถูกระงับแล้ว


เวลา 09.00 น. (3 ต.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 9 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที แถลงข่าวถึงกรณีบัญชีทวิตเตอร์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรี หรือ @PouYingluck ถูกแฮกเตอร์เจาะเข้าไปในระบบ โดยเรื่องกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ต.ค. โดยได้ทวิตข้อความแรกประมาณ 10.22 น. จนถึงเวลา 10.43 น.รวมทั้งสิ้น 8 ข้อความ


โดยการลักลอบใช้ทวิตเตอร์นั้น เขา กล่าวว่า เสมือนเป็นการแฮก ซึ่งมีความผิดตามมาตรา 5 7 9 และ 14 ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2550 โดยขณะนี้ เปิดเผยได้แต่ว่า ไอซีทีได้ประสานกับหลายฝ่ายทั้งผู้ประกอบการโทรศัพพท์มือถือ ผู้ให้บริการทวิตเตอร์ในต่างประเทศ ซึ่งได้ทราบเบาะแสของผู้กระทำความผิดแล้ว ซึ่งเบื้องต้นรู้ตัวเพียงว่า เป็นคนไทย และกระทำความผิดในประเทศไทย
เขา กล่าวว่า มาตรา 5 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตราการป้องการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตราการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิด 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มาตรา 7 ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตราการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตราการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 40,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 9 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ มีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท และตามมาตรา 14 ผู้ใดว่าด้วยการขโมยเข้าไปใช้ข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นปลอม ซึ่งมี 5 มาตรา จำคุกสูงสุด 2 ปี ปรับ 40,000 บาท
“การที่ผู้ใดจะใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คต้องยอมรับเงื่อนไขและลงทะเบียนเข้าใช้ ซึ่งผู้ดูแลระบบคือผู้ที่ให้บริการ ซึ่งมีลักษณะกรใช้เหมือนโทรศัพท์มือถือเหมือนกันซึ่งถ้าทำเบอร์หล่นหายก็อาจถูกนำเบอร์ไปใช้เช่นกัน” รมว.ไอซีที
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีผู้ประสงค์ร้ายแฮกทวิตเตอร์ เพราะเมื่อ 2 ปี ก่อนนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ก็เคยถูกแฮกทวิตเตอร์ ซึ่งวันนี้อยากทำความเข้าใจกับประชาชนว่าการใช้ข้อมูลโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้ง เฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ต้องระวังตัว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายกฯ ต้องเห็นใจกัน และช่วยกันประณามการกระทำดังกล่าว
“วันนี้ไอซีทีได้รับเบาะแสผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ต้องรวบรวมข้อมูลให้แน่นหนาก่อนที่จะจับกุม ส่วนประชาชนที่โดนเหตุการณ์อย่างนายกฯ สามารถแจ้งมาที่ไอซีทีได้ เพราะเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.คอมพ์
น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า หากเห็นการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นกับใคร ขอเตือนไม่ให้ส่งต่อข้อมูลเพราะเข้าข่ายกระทำความผิดร่วมกันทวิตเตอร์ที่ถูกแฮกนี้เป็นทวิตเตอร์ที่นายกฯในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีทีมงานร่วมทำงานด้วย การที่จะวิเคราะห์ว่าใครกระทำต้องวิเคราะห์อย่างละเอียดและตำรวจต้องติดตามเบาะแส
ส่วนคำตอบที่ว่า จะได้ตัวผู้กระทำคามผิดเมื่อไร และจะหาตัวผู้กระทำผิดได้หรือไม่ เขา ตอบเพียงว่า ขณะนี้ทั้งกระทรวงและตำรวจได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ได้รับทราบเกี่ยวกับข้อมูลการจราจรทางคอมพิวเตอร์ (ล็อก ไฟล์) เพียงแต่การก่อเหตุของแฮกเกอร์ก็เหมือนอาชญากรทั่วไป ซึ่งเราก็อยากจะจับให้ได้ แต่แฮกเกอร์ก็ต้องการหลบหนี
“ผมเข้าใจว่าคนที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คใช้เพื่อการสื่อสาร ไม่ใช่เรื่องที่เป็นทางการ ซึ่งเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน ตั้งแต่ลงทะเบียนใช้งาน ผู้ให้บริการได้แจ้งถึงระดับความปลอดภัยไว้แล้ว ซึ่งการที่ผู้ประสงค์ไม่ดีเข้ามาแฮกทวิตเตอร์อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ซึ่งเป็นการแสดงออกโดยวิธีนี้” รมว.ไอซีทีกล่าว
สำหรับขณะนี้นายกฯ ได้ทำการประชาสัมพันธ์ผ่านโชเซียลเน็ตเวิร์คผ่านที่ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก Y.shinawatra เท่านั้น ซึ่งทวิตเตอร์ @PouYingluck ได้ระงับใช้ไปแล้

http://www.bangkokbiznews.com